(โรม 1:16-17)
“ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน และพวกกรีกด้วยเพราะว่าในข่าวประ เสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’”
เราจะต้องได้รับความชอบธรรมของพระเจ้า
เปาโลไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เขาเป็นพยานข่าวประเสริฐไว้อย่างสง่าผ่าเผย อย่างไรก็ตามเหตุผลหนึ่งที่ผู้ คนยังคงร่ำให้อยู่ แม้พวกเขายังเชื่อในพระเยซูอยู่ ก็คือบาปของพวกเขานั่นเอง และก็เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้าด้วย เรารอดจากความผิดบาปได้โดยการเชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้าและด้วยการยอมแพ้ต่อความชอบธรรมของเราเอง
ทำไมเปาโลจึงไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ? อันดับแรกเลยก็เพราะความชอบธรรมของพระเจ้านั้นได้แสดงออกในข่าวประ เสริฐนั่นเอง
คำว่าข่าวประเสริฐในภาษากรีกคือคำว่า ‘euaggelion’ ซึ่งหมาย ความว่า “ข่าวดี” เมื่อพระเยซูทรงประสูติในเมืองเบธเลเฮ็ม ทูตสวรรค์องค์หนึ่งก็ปรากฏขึ้นแล้วกล่าวกับคนเลี้ยงแกะ ที่เฝ้าฝูงแกะของเขาเวลากลางคืนว่า “รัศมีภาพจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และบนแผ่นดินโลกสัน ติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงที่ทรงโปรดปรานนั้น!” (ลูกา 2:14) มันเป็นข่าวดี ‘สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงที่ทรงโปรดปรานนั้น’ ข่าวประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า ช่วยเราให้รอดจากบาปทั้งหมดและชำระความผิดบาปของโลกนี้ออกไป พระเยซูทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของเรา พระองค์เองทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของผู้ที่ดิ้นรนเหมือนตัวหนอนในมูลสัตว์และผู้ที่กระทำบาปในโคลน
อย่างแรก เปาโลกล่าวว่าความชอบธรรมของพระเจ้าได้แสดง ออกในข่าวประเสริฐ ความชอบธรรมของพระเจ้าได้แสดงออกในข่าวประเสริฐที่ลบมลทินบาปทั้งหมดของเราออกไป ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ยอมให้เราได้เป็นวิสุทธิชนและเป็นผู้ชอบธรรม ความชอบธรรมของพระเจ้าก็อนุญาตให้เรามีชีวิตนิรันดร์และไม่มีบาป
ความชอบธรรมของมนุษย์คืออะไร? มนุษย์เราอยากจะแสดงตัว เองออกมาต่อพระพักตร์พระเจ้าเมื่อมีบางสิ่งที่จะคุยโว โดยทำการรวมความภูมิใจของผู้ใดผู้หนึ่งโดยการทำความดีแล้ววาดภาพว่าเป็นความ ชอบธรรมของมนุษย์ อย่างไรก็การกระทำอันชอบธรรมของพระเยซูที่ช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปทั้งหมดของเราได้ยอมให้ความชอบธรรมของพระเจ้าได้เปิดเผยในข่าวประเสริฐ นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า
ทุกวันนี้คริสเตียนส่วนใหญ่ประกาศข่าวประเสริฐออกไป โดยไม่รู้จักข่าวประเสริฐของความ ชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขากล่าวว่า “วางใจในพระเยซูและท่านจะรอดจากบาปและร่ำรวย” อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่การสอนของข่าวประเสริฐ ของความชอบธรรมของพระเจ้า ดูเหมือนว่าข่าวประเสริฐ จะเป็นที่นิยมกว่าสิ่งอื่นใดแต่ผู้คนก็ยังคงไม่สน ใจและไม่เข้าใจในข่าวประเสริฐอยู่ดี มันจึงคล้ายกับความจริงที่ว่าพระคัมภีร์ไบเบิลนั้นเป็นที่นิยมมาก แต่ผู้คนยังคงไม่รู้จักสิ่งที่อยู่ในนั้นอย่างแท้จริง สิ่งล้ำค่าและมีประโยชน์ที่สุดในโลกนี้ก็คือข่าวประเสริฐที่พระเจ้าประทานมาให้กับพวกเรา
“ในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ” ข่าวประเสริฐของพระเจ้าก็เหมือนกับโอเอซิสในทะเลทราย พระเยซูเสด็จมาสู่ผู้มีบาปที่ได้ทำบาปมากมายและชำระความผิดบาปทั้งหมดของพวกเขาออกไป อย่างไรก็ผู้คนก็ปฏิเสธของประทานของความชอบธรรมของพระเจ้าที่ได้ชำระความผิดบาปของโลกนี้ออกไป ในขณะที่พยายามสร้างความ ชอบธรรมของพวกเขาเองขึ้นมา คนที่สร้างความพยายามของตัวเอง (ในการอุทิศตน, การบริจาค, ความขยัน, การบูชา, การอธิษฐานสารภาพบาป, การรักษาศีลวันของพระผู้เป็นเจ้า, การแปลพระวจนะของพระเจ้า) และปฏิเสธของประ ทานของพระเจ้า คนเหล่านี้ปฏิเสธความชอบธรรมของพระองค์ ใครก็ตามจะได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าเพียงเมื่อผู้นั้นได้ยอมแพ้ต่อความชอบธรรมของเขาเอง
เขาทั้งสองก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเพื่อสวมใส่
บทปฐมกาล 3:21 ได้เขียนเอาไว้ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงทำเสื้อคลุมด้วยหนังสัตว์แก่อาดัมและภรรยาและสวมใส่ให้เขาทั้งสอง”
อาดัม มนุษย์คนแรกที่ทำบาปที่ขัดต่อพระเจ้าโดยการเขาตกลงไปสู่อุบายของซาตาน สิ่งที่อาดัมและเอวาทำโดยทันทีหลังจากที่พวกเขาได้ทำบาปแล้ว ก็คือเย็บใบมะเดื่อเพื่อสามใส่ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เย็บจากใบมะเดื่อก็คือรูปแบบที่แตกต่างขัดแย้งกับเสื้อคลุมหนังสัตว์ คำว่า ‘ความ ชอบธรรมของมนุษย์’ และ ‘ความชอบธรรมของพระเจ้า’ นั้นแตกต่างกัน ปฐมกาล 3:7 กล่าวว่า “และเขาทั้งสองก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดอวัยวะส่วนล่างของเขาไว้” ท่านเคยพับจีบใบหัวใชเท้าไหม? คนเกา หลีเราตัดใบหัวใชเท้าออกและพับจีบเข้าด้วยกันด้วยฟางข้าวเพื่อที่จะทำให้มันแห้ง ในฤดูหนาวก็เอาไปทำต้มกับ ถั่วตุ๋น อร่อยมาก!
อาดัมกับเอวาเย็บใบมะเดื่อเข้าด้วยกันและทำอาภรณ์ใส่หลังจากที่พวกเขาได้ทำบาปแล้ว การกระทำเช่นที่ว่าเป็นการกระทำดี, การทดลองตัวเองและการบูชาตัวเองเป็นการสถาปนาความชอบธรรมของมนุษย์ขึ้น มา มันเป็นความชอบธรรมส่วนตัว ไม่ใช่ความชอบธรรมของพระเจ้า ความจริงที่ว่าพวกเขาสร้างอาภรณ์ส่วนตัวด้วยใบมะเดื่อขึ้นมาเพื่อแสดงบาปของความภูมิใจโดยการพยายามซ่อนความผิดบาปของพวกเขาด้วยการกระทำความดีต่อพระพักตร์พระเจ้า การเย็บความชอบธรรม, การเสียสละ, การสังเวยบูชา, การทดลอง, การอุทิศตน และการอธิษฐานสารภาพความผิดบาปของใครก็ตามให้เป็นอา ภรณ์ และปกปิดบาปความผิดบาปไว้ในใจของคนผู้นั้นซึ่งก็คือ ‘การเคารพบูชา’ ที่รวบรวมความภูมิใจของคนๆนั้นต่อพระพักตร์พระเจ้านั่นเอง
เราสามารถซ่อนความผิดบาปในหัวใจของเราต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยการเย็บใบมะเดื่อเข้าด้วยกันเพื่อทำเป็นอาภรณ์ได้ไหม? เราซ่อนความผิดบาปของเราด้วยการกระทำได้ไหม? ไม่มีทาง ใบไม้จะเริ่มร่วงในวันแรกและก็จะร่วงลงท้ายที่สุดในวันที่สาม อาภรณ์ที่สร้างขึ้นจากผักทั้งหลายอยู่ได้ไม่นาน ผู้ที่เย็บใบมะเดื่อเข้าด้วยกันและทำเครื่องนุ่งห่ม กล่าวคือคนผู้นั้นพยายามจะเป็นผู้ชอบธรรมโดยการรับใช้พระเจ้าอย่างดีด้วยการกระทำของพวกเขาเอง ซึ่งไม่สามารถเข้าไปสู่ดินแดนสวรรค์ได้ เราไม่สามารถได้รับการยกความผิดบาปด้วยความชอบธรรมของการกระ ทำความดีของเราได้
เมื่ออาดัมและเอวาได้พยายามซ่อนความผิดบาปของพวกเขาด้วยการเย็บใบมะเดื่อมาสวมใส่ พระเจ้าตรัสถามอาดัมว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน อาดัม?” เขาได้ตอบพระองค์ ในขณะที่เขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ต่างๆในสวนว่า “ข้าพระองค์ก็กลัวเพราะว่าข้าพระองค์ก็เปลือยกายอยู่ ข้าพระองค์จึงได้ซ่อนตัวเสีย” ผู้ที่มีบาปจึงพยายามซ่อนตัวเองท่ามกลางต้น ไม้ต่างๆ ต้นไม้ต่างๆก็เปรียบได้กับมนุษย์ในพระคัม ภีร์ไบเบิล เขาหรือเธอผู้มีบาปอยู่ในหัวใจพยายามที่จะซ่อนตัวเองท่ามกลางหมู่ผู้คน ตอนที่ผู้คนมาร่วมชุมนุนกันมากๆเขาหรือเธอชอบที่จะนั่งอยู่ตรงกลาง, ไม่ก็นั่งด้านหลังไกลๆหรือด้านหน้าของโบสถ์ ทำไมล่ะ? ก็เพราะว่าเขาหรือเธอนั้นต้องการที่จะซ่อนตัวเองในหมู่ผู้คนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เขาหรือเธอก็ไม่สามารถซ่อนบาปของตัวเองต่อพระพักตร์พระเจ้าได้ เขาหรือเธอต้องได้รับการยกความผิดบาปของตนโดยยกความชอบธรรมของตนออกและด้วยการเชื่อในความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่มีความเชื่อที่คลุมเคลือเช่นนี้และผู้ที่ไม่เชื่อในความจริงนี้ต่างก็ต้องการไปสู่ดินแดนสวรรค์เช่นเดียวกัน พวกที่ซ่อนตัวเองท่ามกลางหมู่ผู้คนแบบเดียวกัน กับพวกที่พยายามซ่อนบาปของตัวเองด้วยการทำดี ต่างก็จะต้องตกนรกเช่นเดียวกัน ผู้มีบาปต่อพระพักตร์พระเจ้าจะต้องแสดงตนออกมาว่าคือผู้มีบาปและยอมถวายตัวเองต่อพระเจ้า
พระเจ้าทรงบอกกับอาดัมผู้ที่เย็บใบมะเดื่อเพื่อสวมใส่ว่า “ทำไมเจ้ากินผลไม้นั้น? ใครสั่งให้เจ้ากิน?” โอ พระเจ้า หญิงซึ่งพระองค์ประ ทานให้อยู่กับข้าพระองค์นั้น นางได้ส่งผลจากต้นไม้ ข้าพระ องค์จึงรับ ประทาน” “เอวา เจ้าทำอะไรลงไป?” “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน” ดังนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าจึงตรัสกับงูนั้นว่า “เพราะเหตุที่เจ้าได้กระทำเช่นนี้ เจ้าถูกสาปแช่งมากกว่าบรรดาสัตว์ใช้งาน และบรรดาสัตว์ในทุ่งนา เจ้าจะเลื้อยไปด้วยท้องของเจ้า และเจ้าจะกินผงคลีดินตลอดวันเวลาในชีวิตของเจ้า” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่งูต้องเลื้อยด้วยท้องของมัน พระเจ้าตรัสกับอาดัมและเอวาว่า “เจ้าก็ทำบาปเช่นเดียวกัน เจ้าถูกหลอกให้ทำบาปและผู้ที่ทำให้เจ้าทำบาปต่างก็เป็นผู้มีบาปเช่นเดียว กัน” ปัจจุ บันนี้ผู้เผยพระวจนะที่ผิดๆได้ประกาศข่าวประเสริฐเทียมของตนออกไปโดยกล่าวว่า “รับไฟ!” ผู้คนที่ถูกหลอกก็จะปฏิบัติในการกระทำเช่นเดียว กันกับผู้เผยพระวจนะที่ผิดเหล่านั้นและต้องตกนรก
พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงทำเสื้อคลุมด้วยหนังสัตว์แก่อาดัมและภรรยาขอ งเขา
พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงคิดว่า “เราจะไม่ทิ้งอาดัมและเอวาผู้ที่ถูกซาตานหลอกให้ทำบาป ซึ่งเราก็ได้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของเราเอง แล้วก็ทำให้พวกเขาเป็นบุตรของเรา ดังนั้นเราจะให้พวกเขาอยู่ต่อไปเพื่อทำให้แผนการณ์ของเราสำเร็จ” แผนการนี้อยู่ในพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าทรงผ่านบาปของพวกเขาไปสู่สัตว์ต่างๆ, แล้วฆ่าสัตว์เอาหนังของมันมาทำเสื้อคลุมหนังสัตว์แล้วทรงสวมใส่ให้อาดัมและเอวา พระองค์ทรงทำเสื้อคลุมเป็นสัญลักษณ์ของความรอด ความจริงแล้ว ต้นไม้ที่ทำอาภรณ์ที่ทำจากใบมะเดื่อไม่สามารถอยู่ได้นานแม้แต่วันเดียว และก็ต้องซ่อมแซมตลอดเวลา พระเจ้าทรงสวมชีวิตนิรันดร์ให้แก่อาดัมและเอวา พระองค์ตรัสว่า “มาเถิดอาดัมและเอวา เราได้ทำเสื้อคลุมหนังสัตว์ใหม่ให้เจ้าสวม มันเป็นสัตว์ที่ตายไปเพื่อเจ้า” พระ องค์ทรงสวมใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์ที่ได้รับพระพรของความชอบธรรมของพระเจ้า ให้กับอาดัมและเอวา เพื่อให้เขาทั้งสองได้มีชีวิตใหม่ พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงทำเสื้อคลุมด้วยหนังสัตว์ แก่อาดัมและภรรยาและสวมใส่ให้เขาทั้งสองก็เหมือนกับที่พระเจ้าทรงสมความรอดจากความผิดบาปด้วยความชอบธรรมของพระองค์ให้กับผู้ที่เชื่อ
อย่างไรก็ตามความรอดของมนุษยชาติ ที่แยกออกจากความรอดของพระเจ้านั้นเป็นต้นไม้ของอาภรณ์ที่ทำจากใบมะเดื่อ พระเจ้าทรงสวมใส่เสื้อคลุมหนังสัตว์ที่เป็นความชอบธรรมของพระองค์ให้เรา พระผู้เป็นเจ้าทรงสวมการยกความผิดบาปด้วยความชอบธรรมของพระเจ้าโดยประ ทานเนื้อหนังและพระโลหิตของพระองค์ให้เรา พระองค์ทรงนำเอาความ ผิดบาปของเราทั้งหมดไปด้วยบัพติสมาและการถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระองค์เพื่อที่จะได้รับการพิพากษาทั้งหมดในที่ของเรา พระเจ้าทรงยอมให้เราได้รับการยกความผิดบาป เมื่อเราเชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้าผ่านข่าวประเสริฐของบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐที่ช่วยผู้มีบาปให้รอดจากความผิดบาปของตน
มีหลายคนที่พยายามสร้างความชอบธรรมของตัวเองแล้วปฏิเสธความชอบธรรมของพระเจ้าในโลกนี้ พวกเขาจะต้องละทิ้งความชอบธรรมของตัวเอง ในบทโรม 10:1-4 ได้เขียนเอาไว้ว่า “พี่น้องทั้ง หลาย ความปรารถนาในจิตใจของข้าพเจ้าและคำวิงวอนขอต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอลนั้น คือขอให้เขารอดข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาว่า เขามีความกระ ตือรือร้นที่จะปรนนิบัติพระเจ้า แต่หาได้เป็นตามปัญญาไม่เพราะว่าเขาไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า แต่อุตส่าห์จะตั้งความชอบธรรมของตนขึ้น เขาจึงไม่ได้ยอมอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าเพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของพระราชบัญญัติ เพื่อ ให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความ ชอบธรรม”
คนอิสราเอลยืนยันอยู่บนหลักของพวกเขาเองเพื่อที่จะตั้งความ ชอบธรรมของตนขึ้นมาในขณะ ที่ไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าประทานพระบัญญัติมาให้แก่มนุษย์เพื่อให้พวกเขาระวังความผิดบาป ผู้คนมีความรู้ในเรื่องของบาปผ่านพระบัญญัติสิบประการและได้รับการยกความผิดบาปโดยการเชื่อในความชอบธรรมของความรอดของพระองค์ ที่ช่วยพวกเขาให้รอดจากความผิดบาปของตนผ่านระบบการบูชาไถ่บาปของแท่นบูชา ดังนั้นเครื่องบูชาไถ่บาปของแท่นบูชาจึงมีนัยว่าพระเยซูทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าอย่างแท้จริงในพันธสัญญาฉบับใหม่ อย่างไรก็ตามชาวอิสราเอลก็ไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้านี้
ทำไมพระเยซูทรงรับบัพติศมา?
ทำไมพระเยซูทรงรับบัพติศมา? ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาได้ให้บัพติศมาแก่พระเยซูก็เพื่อที่จะชำระความผิดบาปทั้งหมดในโลกนี้ออกไป พระเยซูตรัสกับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก่อนที่พระองค์จะรับบัพติศมาว่า “บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ” (มัทธิว 3:1-5) นี่จึงเป็นเหตุผลที่พระเยซูทรงรับบัพติศมา พระองค์ทรงรับบัพติศมาเพื่อว่าพระองค์จะทรงสามารถชำระความผิดบาปของมนุษยชาติทั้งหมดได้ พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ไปโดยการรับบัพติศมา “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกนี้ไปเสีย” (ยอห์น 1:29) พระองค์ทรงรับความผิดบาปทั้งหมดไปและทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาป อย่างไรก็ตามชาวอิสราเอลก็ยังไม่เชื่อว่าพระเยซูเสด็จมาเป็นผู้ช่วยให้รอดที่สมบูรณ์ของผู้มีบาป
ชาวอิสราเอลไม่ยอมรับตัวเองกับความชอบธรรมของพระเจ้า แต่พระเยซูทรงเป็นที่สิ้นสุดของพระบัญญัติเพื่อความชอบธรรมให้ทุกคนที่เชื่อ ที่สิ้นสุดของพระบัญญัติ หมายความว่าพระเยซูทรงชำระความผิดบาปของโลกทั้งหมด พระคริสต์ทรงได้รับการพิพากษาที่เป็นคำสาปแช่งของพระบัญญัติเพื่อผู้ที่เชื่อให้ได้รับความบริสุทธิ์ พระองค์ทรงทำให้การสาปแช่งของพระบัญญัติสิ้นสุด พระเยซูชำระความ ผิดบาปของทุกคนให้รอดจากบาปของตน พระเยซูทรงรับบัพติศมาเพื่อชำระความผิดบาปของมนุษย ชาติทั้งหมด พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกไป โดยการนำเนื้อหนังของพระองค์แก่ยอห์นเพื่อให้รับบัพติศมาและผ่านบาปทั้งหมดของโลกนี้ไปสู่เนื้อหนังของพระองค์ ดังนั้นพระองค์ทรงช่วยทุกคนจากความผิดบาปของพวกเขา พระองค์ทรงสิ้นสุดการพิพากษาของการสาปแช่งของพระบัญ ญัติโดยการนำเอาความผิดบาปของโลกนี้ไปผ่านการรับบัพติศมาและการถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระ องค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดจากการพิพากษาและการสาปแช่งของพระบัญญัติอย่างสมบูรณ์
มันคือจุดสิ้นสุดของพระบัญญัติและจุดเริ่มต้นของความชอบธรรมของความรอดของพระเจ้า พระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปของโลกนี้ออกไปอย่างเหมาะสมโดยการรับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาและการถูกตรึงบนไม้กางเขน มันเป็นไปได้อย่างไรว่าผู้ใดที่มีความผิดบาปอยู่ในหัวใจอยู่ทั้งๆที่ผู้นั้นเชื่อในความชอบธรรมของความรอดของพระเยซูอย่างแท้จริง? “ด้วยเพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ” การรับบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซูจึงเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า การเชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้าคือการเชื่อในบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซู
ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ทำให้บัพติศมาของพระเยซูสม บูรณ์อย่างถูกต้อง ผมอยากจะให้ท่านเชื่อความชอบธรรมของพระเจ้า แล้วท่านจะรอดจากความผิดบาปทั้งหมดของท่าน ความชอบธรรมได้ประทานมาให้กับผู้มีบาปได้เป็นผู้ไม่มีบาปผ่านบัพติศมาของพระเยซู ยิ่งไปกว่านั้นความชอบธรรมของการพิพากษาของพระเจ้าก็เป็นการถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระเยซู “พระคริสต์คือที่สิ้นสุดของพระบัญญัติ” การพิพากษาของพระเจ้าจะมาสู่ผู้ที่ยังไม่ได้รับการพิพากษาเลยตราบเท่าที่พระบัญญัติยังมีอยู่ พระบัญญัติของพระเจ้าได้แสดงบาปออกมาและยืน ยันว่าค่าจ้างของบาปคือความตาย และคือการสาปแช่งและนรกอยู่ในตัวของมันเอง ดังนั้นการรับบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซูบนไม้กาง เขนก็ทำให้การสาปแช่งของพระบัญญัติสิ้นสุดลง พระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดไปและทรงสิ้น สุดพระบัญญัติเพื่อให้ความชอบธรรมทั้งหมดสมบูรณ์
พวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่
ลองมาดูมัทธิว 25:1-13 ที่ได้เปรียบหญิงพรหมจารีสิบคนรอรับเจ้าบ่าวของตนอยู่ กับการเสด็จมาถึงของพระผู้เป็นเจ้า ลองมาดูสิ่งที่เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าผ่านพระคัมภีร์
“เมื่อถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว ในพวกเธอเป็นคนที่มีปัญญาห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน พวกที่โง่นั้นเอาตะเกียงของตนไปแต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของตนด้วย เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาและหลับไป ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า ‘ดูเถิด เจ้าบ่าวมา แล้ว จงออกมารับท่านเถิด’ บรรดาหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราดับอยู่’ พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า ‘ทำอย่างนั้นไม่ได้ เกรงว่าน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า’ เมื่อพวกเธอกำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับท่านในพิธีสมรสนั้น แล้วประตูก็ปิด ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกพวกหนึ่งก็มาร้องว่า `ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าทั้ง หลายด้วย`ท่านตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’ เหตุฉะ นั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มัทธิว 25:1-13)
ได้เขียนเอาไว้ว่า อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็เปรียบเสมือนหญิงพรหมจารีสิบคนที่ถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว ใครที่เข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์? ในหมู่หญิงพรหมจารีสิบคน ใครที่เข้าสู่อาณา จักรแห่งสวรรค์? ทำไมมีหญิงพรหมจารีบางคนไม่สามารถเข้าสู่อาณา จักรแห่งสวรรค์ได้แม้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซู? พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกกับเราเกี่ยวกับสิ่งนี้ผ่านข้อความข้างต้น หญิงพรหมจารีห้าคนเป็นคนโง่และอีกห้าคนเป็นคนมีปัญญา พวกที่โง่เอาตะเกียงของตนไปแต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย ตะ เกียงก็เปรียบได้กับ ‘โบสถ์’ ความจริงที่ว่าพวกเขาเอาตะเกียงของตนไปแต่หาได้เอาน้ำมันไปไม่ ก็แสดงถึงผู้ที่ไปโบสถ์โดยไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (น้ำมันมีความหมายโดยนัยถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล)
พวกที่โง่ทำอะไร? พวกเขาเอาตะเกียงของตนไปแต่หาได้เอาน้ำ มันไปด้วยไม่ มนุษย์ผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่แม้ว่าเชื่อในพระเยซูก็อาจจะเข้าร่วมโบสถ์อย่างจริงจัง ทุกคนกล่าวได้ว่า “โบสถ์ของฉันเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริง” คริสเตียนทุกคนในโลกนี้กล่าวเช่นนั้น พวกเขามีความภูใจในกับบาทหลวงที่ก่อ ตั้งและลักษณะพิเศษบางประการที่พวกเขาก่อตั้งขึ้นมา พวกที่โง่เอาตะเกียงของตนไปแต่หาได้เอาน้ำ มันไปด้วยไม่ แต่พวกที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันในภาชนะไปกับตะเกียงของตน
มนุษย์คืออะไร? มนุษย์ก็คือภาชนะต่อพระพักตร์พระเจ้า เขาหรือเธอคือธุลี มนุษย์สร้างมาจากธุลี ดังนั้นมนุษย์ก็คือภาชนะที่สามารถบรรจุพระเจ้าได้ ผู้ที่มีปัญญาเอาตะเกียงของตนไปพร้อมกับน้ำ มันในภาชนะของพวกตน
พวกที่โง่ผู้มีเพียงตะเกียงหาได้มีน้ำมันเผาอารมณ์ของพวกเขาไม่
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกกับเราว่ามีหญิงพรหมจารีพวกที่โง่ในหมู่คนทั้งหลายซึ่งเชื่อในพระเยซู ได้เอาตะเกียงของตนไปด้วยแต่ไม่ได้เอาน้ำมันไป นี่ก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้เกิดใหม่ ไส้ตะ เกียงที่ไม่มีน้ำมันอยู่ได้นานไหม? สิ่งที่เราจะต้องรู้ตรงนี้ก็คือว่าตะเกียงที่ไม่มีน้ำมันนั้นจะไหม้ลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสงสัยว่าไส้ตะเกียงจะดีเช่นไร ผู้ที่เชื่อที่ยังไม่ได้เกิดใหม่มีความรู้สึกรักพระเยซูอย่างลุ่มหลงก่อนสิ่งอื่นใด จากนั้นก็จะอยู่เพียง 4 หรือ 5 ปี แล้วความรักอันร้อนแรงต่อพระผู้เป็นเจ้านั้นก็มอดลง พวกเขาจะต้องตระหนักว่าพวกเขายังไม่ได้รับการยกความผิดบาปเลย
ผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่หรือผู้ที่ไม่มีน้ำมัน (พระวิญญาณบริสุทธิ์) มักกล่าวว่า: “ฉันเคยมีความศรัทธาที่ดีมานาน มันดีในตอนแรกแต่ตอนนี้ไม่แล้ว แล้วท่านจะเป็นเหมือนฉันเร็วๆนี้” พวกเขาสอนผิดๆ และเป็นวิสุทธิชนที่ไม่ถูกต้องผู้ที่นำชีวิตทางศาสนาอยู่โดยไม่มีการเกิดใหม่ พวกเขาจะต้องมีความศรัทธาในความรอด เพราะความศรัทธาของพวกเขานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำมัน (พระวิญญาณบริสุทธิ์) ความศรัทธาของพวกเขานั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตนเท่านั้น พวกเขาจะต้องได้รับความรอดโดยการเชื่อในน้ำและพระโลหิตของพระเยซู คริสต์และได้รับน้ำมันของพระเจ้าเป็นของประทาน ไส้ตะเกียงจึงเปรียบได้กับหัวใจของมนุษย์
จากหญิงพรหมจารีที่รอเจ้าบ่าวของตนในข้อความข้างต้นนี้ เราต้องทำความเข้าใจอย่างดีในภูมิหลังทางวัฒนธรรมของชาวอิสราเอลด้วยว่า พวกเขาต้องเข้าพิธีแต่งงานในตอนกลางคืน และพิธีจะเริ่ม ต้นเมื่อเจ้าบ่าวมาถึง ดังนั้นเจ้าสาวจะต้องรอเจ้าบ่าวของตน นี่เป็นแบบของพิธีแต่งงานของชาวอิสราเอล
“เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ พวกเธอก็พากันง่วงเหงาและหลับไป” ครั้นเวลาเที่ยงคืน ก็มีเสียงร้องมาว่า “ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว!” บรรดาหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน เมื่อหญิงพรหม จารีทั้งสิบรอเจ้าบ่าวของพวกเขาอยู่ แล้วเจ้าบ่าวก็มาถึงพวกเธอจึงร้องว่า “ดูเถิดเจ้าบ่าวมาแล้ว!” “บรร ดาหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า `ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง เพราะตะเกียงของเราดับอยู่” พวกที่โง่ก็มักจะโง่ พวกเขาควรจะเตรียมน้ำมันไปด้วยก่อนที่เจ้าบ่าวจะมาถึง ตะเกียงที่ไม่มีน้ำมันก็อยู่ได้ไม่นานโดยไม่ต้องสงสัยว่าไส้ตะเกียงนั้นคุณภาพดีหรือไม่เพียงใด
หญิงพรหมจารีผู้ที่มีตะเกียงโดยไม่มีแม้แต่น้ำมันเผาไส้ตะเกียง ก็หมายความว่าหัวใจของพวกเขานั้นถูกเผาไหม้แล้ว “ฉันจะต้องเกิดใหม่ ต้องเป็นผู้ที่เกิดใหม่ และต้องสมบูรณ์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” พวกเขาเผาหัวใจของตนหมดแล้ว ในตอนที่เราเป็นเด็กเราเคยจุดตะเกียงเจ้าพายุในเวลากลางคืน หากเราให้เผากระดาษซักเส้นที่ตะเกียง มันก็จะไหม้หมดในชั่วพริบตาเดียว ไฟก็จะท่วมและสว่างและก็จะไหม้หมดในทันที
หญิงพรหมจารีผู้ที่ต้องตกนรกคือผู้ที่เผาหัวใจของพวกเธอ (อา รมณ์) โดยไม่มีน้ำมัน และความศรัทธาของพวกเธอก็ไหม้หมดแล้วเมื่อพวกเธอได้พบกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวเอง พวกเธอคิดว่าเธอคิดอย่างถูกต้องแม้ว่าพวกเธอไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม “มาเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกเผา มาเลย” พวกเขาอยู่ในความวุ่นวายอย่างมาก แล้วหญิงสาวก็เต้นตามใจตัวเอง (พวกเขาเรียกมันว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เต้นรำ) ส่ายหน้าอกของตนแล้วกว่าวว่า “มาเถิด ได้โปรดมาเถิด” พวกเขาโง่และบ้าบอ เราจะต้องโง่หากเรายังคงมีบาปก่อนพระพักร์ของพระผู้ช่วยให้รอด เราควรจะเป็นเหมือน กับหญิงพรหมจารีที่โง่หากเรามีบาปอยู่ในหัวใจขอเราเอยู่ แม้ว่าเราเชื่อในพระเยซู ไม่มีหญิงพรหมจารีพวกที่โง่
พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแต่งงานกับเจ้าสาวผู้ยังมีบาปอยู่ได้อย่างไร?
พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เจ้าบ่าวก็คือพระเจ้าและพระบุตรของพระเจ้าผู้ไม่มีบาป พระเจ้าคือเจ้าบ่าวของเรา อย่างไรก็ตามท่านสามารถพบพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไรในขณะที่ยังมีบาปอยู่ ท่านต้องการที่จะพบพระเจ้าพร้อมกับบาปในใจท่านหรือ? มันช่างเป็นสิ่งที่โงเขลาและไม่ฉลาดเลยที่จะทำเช่นนั้น
เจ้าบ่าวของเราพระเยซู เสด็จมายังโลกนี้และทำให้เจ้าสาวเป็นผู้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงทำให้เจ้าสาวของพระองค์เป็นผู้ที่ชอบธรรมโดยการชำระความผิดบาปทั้งหมด ผ่านการรับบัพติศมาของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกพวกเขาให้เป็นเช่นเจ้าสาวของพระองค์ เมื่อถึงเวลาหญิงพรหมจารีห้าคนในนั้นก็ร้องว่า “ได้โปรดมาเถิด” อย่างไรก็ตามหญิงทั้งห้าคนนั้นก็ยังคงยืนอยู่ในความมืด พวกเธอจะมีพิธีแต่ง งานได้อย่างไรในเมื่อหน้าของเธอดำ? เมื่อเจ้าบ่าวมาแล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?” หน้าของเจ้าสาวทั้งหน้าคนก็ยังดำอยู่ เนื่องจากบาปของเพวกเธอเอง พวกเธอก็ยังคงตกอยู่ในความเสียใจเพราะว่าบาปของพวกเธอยังติดอยู่ที่นี่และข้างในหัวใจของเธอด้วย
พระผู้เป็นเจ้าจะแต่งงานกับเจ้าสาวที่คร่ำครวญกับบาปของตัว เองได้อย่างไร? “ขอขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพระองค์บริสุทธิ์เช่นนี้” คนเช่นนี้จะมีความสุขกับเจ้าบ่าวทางฝ่ายจิตวิญญาณของเขาหรือเธอ แม้ว่าเขาหรือเธอนั้นอ่อนแอ แต่เจ้าบ่าวก็ทรงรักเขาหรือเธอและชำระความผิดบาปและความอ่อนแอทั้งหมดของเขาหรือเธอออกไป เจ้าบ่าวมักจะนำเจ้าสาวให้ไปแต่งหน้า ส่งเสื้อผ้า เครื่อง สำอางและน้ำ หอมชั้นเลิศมาให้ แล้วเจ้าสาวก็แต่งตัวด้วยสิ่งเหล่านี้เพื่อว่าเธอพร้อมที่จะพบกับเจ้าบ่าว
พระผู้เป็นเจ้าถูกส่งมายังโลกนี้เหมือนเจ้าบ่าวผู้ทรงนำทางเราให้ได้พบกับพระองค์ ได้เป็นเจ้า สาวของพระองค์ พระองค์ประทานเนื้อหนังของพระองค์มาเพื่อการความรอดจากบาป ณ แม่น้ำจอร์ แดน “พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยอห์น 1:14) พระผู้เป็นเจ้าทรงนำความผิดบาปทั้งหมดของเราไปเพื่อว่าเราจะได้มีความบริบูรณ์ของพระคุณ ความจริงและการได้รับการยกความผิดบาปโดยการวางใจในพระผู้เป็นเจ้า เจ้าบ่าวทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของเจ้าสาวของพระองค์ไป ณ แม่น้ำจอร์แดน พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเจ้า สาวของพระองค์ให้รอดจากความผิดบาปของพวกเขาโดยการรับการพิพากษาบนไม้กางเขนในดินแดนของพวกเธอ
เราสามารถซื้อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ด้วยเงินหรือการทดลองไหม?
อย่างไรก็ตามหญิงพรหมจารีพวกที่โง่ก็ได้ขอแบ่งน้ำมันจากผู้มีปัญญา เพื่อใช้จุดตะเกียงของตนตอนที่เจ้าบ่าวมาถึง เราแบ่งปันพระวิญ ญาณบริสุทธิ์ได้ไหม? เราซื้อพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยเงินได้ไหม? เราซื้อการยกความผิดบาปด้วยการกระทำความดี,ด้วยการทดลองหรือด้วยเงินได้ไหม? ผู้มีปัญญาบอกพวกเธอให้ซื้อพระวิญญาณบริสุทธิ์จากการอุทิศตนเทศนาแบบฟื้นฟูใหม่ ผู้ที่โง่คิดว่าพวกเขาได้ซื้อพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว พวกเขาคิดว่าพวกเขาซื้อน้ำมันด้วยเงินได้ พวกเขาถูกนำชีวิตทางศาสนาอย่างกระตือรือร้น และคิดว่าการบูชาและการอุทิศตนมากๆ การเข้าร่วมโบสถ์ที่มีธรรมเนียมเคร่งครัด และการอธิษฐานสารภาพบาปซ้ำแล้วซ้ำอีกจะให้บางสิ่งบางอย่างแก่พวกเขา
แต่ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไม่มีใคร ที่จะซื้อการยกความผิดบาปที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ด้วยสิ่งใดๆในโลกได้ พวกที่โง่พยายามที่จะเผาอารมณ์ของตนจนกระทั่งตัวเขาเองได้ยืนต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า หนึ่งในหญิงพรหมจารีพวกที่โง่ทั้งห้าคนเริ่มต้นการมีชีวิตตามศาสนาอย่างเคร่งครัดโดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์จะเชื่อฟังพระองค์ ข้าพระองค์จะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทำการสารภาพความผิดบาป มารับใช้พระองค์กันไปต่าง ประเทศเพื่อประกาศข่าวประเสริฐกัน”
เจ้าบ่าวมาถึงในท้ายที่สุดพร้อมกับพิธีอันยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเธอไปซื้อน้ำมันนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง แต่หญิงพรหมจารีผู้ที่ได้รับการยกความผิดบาปแล้ว และได้จัดเตรียมน้ำมัน(พระวิญญาณบริสุทธิ์) มาก็ได้เข้าร่วมในพิธีสมรส เจ้าบ่าวก็ได้พบกับเจ้าสาวของเขา หลังจากที่เขาได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แล้วประตูก็ปิด พระเยซูไม่ได้ทรงเลือกหญิงพรหมจารีทั้งห้าอย่างสุ่มๆ เลขจำนวน “ห้า” หมายความว่า “พระคุณ” ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หญิงพรหมจารีทั้งห้าก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้รับการยกความผิดบาปโดยพระคุณและเชื่อในพระคุณและการกระทำที่ชอบธรรมของพระองค์ พวกเขาตระหนักถึงสิ่งที่เจ้าบ่าวได้ทำเพื่อพวกเขาและเชื่อในความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้พวกเขาเป็นผู้ชอบธรรม อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหญิงพรหมจารีอีกห้าคนก็มาร้างว่า “ท่านเจ้าข้าขอเปิดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายด้วย” แต่พระ องค์ตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน”
เรารับของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เพียงเมื่อเราได้ลบความผิ ดบาปออกแล้ว
ผู้ที่ไม่ได้เตรียมน้ำมันไปนั้นไม่สามารถพบกับพระผู้เป็นเจ้าได้ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำเพียงผู้ที่เชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้าและรอคอยอาณาจักรแห่งสวรรค์ และผู้ที่ได้รับการยกความผิดบาปในหัวใจของพวกเขาอย่างแท้จริง ให้เข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์เท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกว่า “จงกลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์สิ้นทุกคน” แล้วอะไรเกิดขึ้นหลังจากการได้รับการยกความผิดบาปแล้ว? พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่า “แล้วท่านจะได้รับของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (กิจการ 2:38) หากท่านได้รับข่าวประเสริฐของความ ชอบธรรมของพระเจ้า บาปในหัวใจของท่านก็จะถูกลบออกไปอย่างแท้ จริงและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเสด็จมาสู่ท่าน เราไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยทางกาย อย่างไรก็ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังคงอยู่ เรากล่าวว่าเราไม่มีบาปเพราะว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเราได้ มันมีอยู่จริงๆ ผู้ที่ได้รับความ ชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าก็จะได้เป็นคนชอบธรรมแม้ว่าเขาอ่อนแอก็ตาม อย่าง ไรก็ตามผู้ที่ไม่มีความชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ก็ยังคงเป็นผู้มีบาปอยู่
ในขณะนั้นที่ความชอบธรรมของพระเจ้าแสดงออกมา
พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปของเราด้วยการรับบัพติศมาของพระองค์ พระ องค์ทรงนำเอาความผิดบาปทั้งหมดของเราไปเมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมา และได้รับการลงโทษบาปเพื่อบาปทั้งหมดของพวกเราโดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ท่านอัครสาวกยอห์น, เปโตรและท่านสาธุคุณพอลได้กล่าวอะไรถึงสิ่งนี้? ท่านทั้งหมดต่างก็กล่าวถึงเนื้อหนังและโลหิตของพระเยซู ท่านกล่าวถึงการรับบัพติสมาของพระเยซูและโลหิตบนไม้กางเขน มัทธิว 3:13-17 อธิบายการรับบัพติสมาของพระเยซูไว้อย่างแท้ จริง ว่าพระเยซูทรงรับบัพติศมาเมื่อทำให้ผู้มีบาปไม่มีความผิดบาปและชำระความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ออกไป ณ แม่น้ำจอร์แดน
ลองมาดู 1 เปโตร 3:21 ที่เปโตรได้ยืนยันว่าภาพของความรอดที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาว่า “เช่นเดียวกัน บัดนี้พิธีบัพติศมาก็เป็นภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย (ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจ ฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า) โดยซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้น มาจากตาย พระองค์ได้เสด็จเข้าในสวรรค์แล้ว และสถิตอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า พวกทูตสวรรค์และผู้มีอำนาจและผู้มีฤทธิ์เดชทั้งหลาย ทรงมอบไว้ให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์แล้ว” (1 เปโตร 3:21-22)
ได้เขียนเอาไว้ว่า “เช่นเดียวกัน บัดนี้ พิธีบัพติศมาก็เป็นภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย—โดยซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากตาย” พิธีบัพติศมาของพระเยซูซึ่งนำเอาความผิดบาปทั้งหมดของเราไปโดยเนื้อหนังของพระองค์ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ความรอดของพวกเรา ความจริงที่พระ องค์ทรงหลั่งพระโล หิตบนไม้กางเขนก็เพื่อพิสูจน์ความจริงที่ว่าเราได้รับการพิพากษาเพื่อความผิดบาปของเรา ท่านเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังพูดอยู่ไหม? ดังนั้นตามที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่าพระเยซูทรงเสด็จมาด้วยน้ำและพระโล หิตและพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 ยอห์น 5:6-9) พระเยซูทรงถูกส่งมายังโลกนี้ในเนื้อหนังของมนุษย์และทรงนำเอาความผิดบาปทั้งหมดไปในวิธีเดียวกันกับที่อาโรน มหาปุโรหิตได้วางมือลงบนสัตว์บูชาเพื่อผ่านความผิดบาปของผู้คนไป
น้ำคือภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย; พิธีบัพติศมา ได้เขียนเอาไว้ว่า ไม่ใช่ให้ชำระราคีแห่งเนื้อหนัง นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ทำบาปหลัง จากที่เราได้รับการยกความผิดบาปแล้ว เราได้รับการยกความผิดบาปโดยการเชื่อในบัพติศมาของพระเยซู แล้วเราไม่ทำบาปด้วยเนื้อหนังหรือ? ใช่เราทำ หลายคนเข้าใจผิดในการยกความผิดบาปและกล่าวว่า “หากท่านไม่มีบาปในหัวใจของท่านแล้ว ท่านก็จะไม่ทำบาปอีกเลย” นี่เป็นการเข้าใจผิด พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า “แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลก ที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย” (ปัญญาจารย์ 7:20) เนื้อหนังยังคงอ่อนแอ มันอ่อนแอจนตาย มันกระทำบาปจนตาย “ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า” ความชอบอันดีจำเพาะของเรานั้นเปลี่ยนไปสู่ความชอบอันดีจำเพาะพระเจ้าผ่านความศรัทธาของเราในพิธีบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซู ความชอบจำเพาะของเรานั้นเรียกพระเจ้าว่าเป็นพระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอดของเราได้โดยความศรัทธาของเราในความจริงที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงนำเอาความผิดบาปทั้งหมดของเราไปโดยการรับบัพติศมาของพระองค์
สิ่งที่หล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณสำหรับหัวใจของเราก็คือพิธีบัพติศมาและ พระโลหิตของพระเยซู
สิ่งที่หล่อเลี้ยงสำหรับหัวใจของเราก็คือพิธีบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซู สิ่งที่หล่อเลี้ยงสำหรับหัวใจและภาพที่ชำระความผิดบาปของเราออกไปก็คือพิธีรับบัพติศมาของพระเยซู ดังที่อัครสาวกเปโตรกล่าวว่าพิธีบัพติศมาเป็นภาพที่รอดแก่เราทั้งหลาย
ลองมาดู 1 เปโตร 1:22-23 กัน “ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริงโดยพระวิญญาณ จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยว่าท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่จากพืชที่จะเปื่อยเน่าเสีย แต่จากพืชอันไม่รู้เปื่อยเน่า คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่เป็นนิตย์” อาเมน
เราได้เกิดใหม่และได้รับการยกความผิดบาปทั้งหมด โดยการเชื่อในพิธีบัพติศมาของพระเยซูและพระโลหิตของพระองค์ เราเกิดใหม่โดยการเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าที่ได้เขียนเอาไว้ เราได้เกิดใหม่ ‘ด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่เป็นนิตย์’ ฮาเลลูยา! การเกิดใหม่นั้นเกิดขึ้นโดยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระวจนะของพระเจ้าคือหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติที่ได้อ้างถึงตัววัดมาตรฐาน พระวจนะของพระเจ้าเป็นบรรทัดฐานของความรอด ตัววัดมาตรฐานสำหรับความรอดของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาได้กล่าวเอาไว้ใน ยอห์น 1:29 ว่า “จงดู พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” พระเมษโปดกของพระเจ้าทรงรับบัพติศมา ณ แม่น้ำจอร์แดน ที่เป็นสิ่งประทังแห่งชีวิตอย่างแท้จริงที่ช่วยเราให้รอดด้วยเนื้อหนังและพระโลหิตของพระองค์
เราได้รับการทำให้บริสุทธิ์และรอดโดยการเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า” และ “เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’” (โรม 10:17, 1:17) เราก็เป็นคนชอบธรรมได้ แค่เพียงเชื่อในข่าวประเสริฐ
ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์หรือยัง? –อาเมน- ท่านมีความผิดบาปใดๆไหม? นี่เป็นข่าวประเสริฐที่เป็นข่าวดีตามคำว่า ‘euaggelion’ ในภาษากรีก ความชอบธรรมของพระเจ้าคืออะไร? คือความจริงที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของเราออกไปโดยการประทานเนื้อหนังและพระโลหิตของพระ องค์มาให้เรา ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ทำให้เราบริสุทธิ์ ความชอบธรรมของพระเจ้าก็คือการที่พระเยซูผู้ทรงไม่มีบาป ได้นำเอาความผิดบาปของโลกนี้ไปและทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อผู้มีบาปทั้งหลาย น้ำและพิธีบัพติศมาของพระเยซูได้ชำระความผิดบาปทั้ง หมดของโลกนี้ ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ถูกประทานมา ผ่านความจริงที่ว่าพระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปของโลกนี้ออกไปโดยการรับบัพติศมาและการถูกตรึงบนไม้กางเขนของพระองค์นั่นเอง ความชอบธรรมของพระเจ้ารวมทั้งพิธีบัพติศมา ความตายและไม้กางเขนคือภาพของการพิพากษาของเรา นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้าที่ได้แสดงเอาไว้ในข่าวประเสริฐ