Search

説教集

เรื่องที่ 9: โรม (ข้อคิดเกี่ยวกับหนังสือของโรม)

[บทที่ 7-6] ขอสรรเสริญพระเยซูเจ้าผู้ทรงช่วย ให้ผู้มีบาปรอดพ้นจากบาป (โรม 7:14–8:2)

(โรม 7:14–8:2)
“เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นเป็นมาโดยฝ่ายพระวิญญาณแต่ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาปข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเองเพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำแต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้นเหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำและข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำแต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัว
ข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะ เจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถึงแม้ ข้าพเจ้ายังทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำแต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่งคือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจ
จะกระทำความดี ความชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้น เพราะว่าส่วนลึกในใจของ ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้า ชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระเจ้าแต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งในกายของข้าพเจ้าซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ใครจะช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความ
ตายได้ ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ฉะนั้นทาง ด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้าแต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้านั้นข้าพ
เจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป ฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะ ว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ข้าพเจ้าได้พ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย”
 
 

มนุษย์คือผู้รับมรดกบาป

 
มนุษย์ทุกคนรับบาปเป็นมรดกจากอดัมและอีฟและเป็นเมล็ดของบาปตามจริงแล้วเราเกิดมาเป็นทายาทของบาปและเป็นผู้มีบาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ก็ไม่มีใครช่วย
ได้ แต่ต้องเป็นผู้มีบาป ตามบรรพบุรุษ ตามอดัม แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีใครต้องการเป็นผู้มีบาปเลย
จุดกำเนิดของบาปคืออะไร?คือสิ่งที่รับมาจากพ่อแม่ของเราพวกเราเกิดมาพร้อมกับบาปในหัวใจของเรา นี่คือมรดกตามธรรมชาติของผู้มีบาป พวกเรามีบาปทั้ง 12 ชนิดที่สืบต่อมาจาก อดัมและอีฟ บาปเหล่านั้นก็คือมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความ เย่อหยิ่ง ความบัดซบ บาปเหล่านี้อยู่ภายในหัวใจของพวกเรา จากทุกๆเวลาที่เราเกิด ฉะนั้นธรรม ชาติพื้นฐานของมนุษย์คือบาป
ดังนั้นพวกเราเกิดมาพร้อมกับบาปทั้ง 12 ชนิดเราเกิดมาพร้อมกับบาปในหัวใจของพวกเรา มนุษย์เราเกิดมาเป็นผู้มีบาปและเขาหรือเธอก็มีบาปอยู่ในตัวเองอยู่แล้วอย่างเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าเขา
หรือเธอไม่ได้ทำบาปเลยในตลอดช่วงชีวิตคนหนึ่งคนเป็นผู้มีบาปเพราะมีบาปบาปหนึ่งเกิดในหัวใจของคนๆนั้น แม้ว่าเนื้อหนังของเราไม่ทำบาปเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นผู้มีบาปได้ เพราะ พระเจ้าทรงทอดพระเนตรมาที่หัวใจของเรา ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงเป็นผู้มีบาปก่อนพระเจ้า
 
 
มนุษย์ทำบาปโดยการละเมิด
 
มนุษย์ทุกคนทำบาปโดยการละเมิด ทำบาปด้วยเนื้อหนัง ต้นกำเนิดของบาปเกิดจากภายใน เราเรียกบาปเหล่านี้ว่า “ความชั่วช้า” หรือ “การละเมิด” พวกเขาฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ต่างๆของ พฤติกรรมภายนอกที่กำเนิดขึ้นจากบาปทั้ง 12 ชนิดในหัวใจของพวกเราบาปชั่วร้ายจากภายใน ทำให้มนุษย์ไม่เคารพกฎและทำให้มนุษย์เป็นผู้มีบาปโดยไม่มีข้อยกเว้นตอนที่มนุษย์ยังเด็กบาปยังไม่แสดงตัวออกมาคล้ายกับต้นพลับที่ยังไม่มีผลแต่บาปก็ออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและเราก็จะเป็นผู้มีบาป เราเรียกบาปนี้ว่าความผิดบาป หรือการฝ่าฝืน และมันก็คือบาปที่เราทำผ่านพฤติกรรมต่างๆ
พระเจ้าตรัสว่าทั้ง 2 สิ่งนี้คือบาป บาปในหัวใจและการกระทำที่ไม่เคารพกฎของเนื้อหนัง ของเราเป็นบาปทั้งคู่ พระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ว่าผู้มีบาปบาปทั้งหมดรวมกับบาปในหัวใจของเรา
ด้วยและกับบาปของพฤติกรรมดังนั้นมนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นผู้มีบาปในสายพระเนตรของพระเจ้าแม้ว่าพวกเขาทำบาปผ่านการกระทำของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม
ผู้ที่ไม่เชื่อจะยืนยันว่าโดยจริงแล้วมนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนดีและไม่มีใครเกิดมาเป็นคน
ชั่วเลยแต่กษัตริย์เดวิดสารภาพกับพระเจ้าว่า“ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ต่อพระองค์เท่านั้นและได้กระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงยุติธรรมในคำ
พิพากษานั้นดูเถิดข้าพระองค์ถือกำเนิดในความผิดบาปและมารดาตั้งครรภ์ที่พระองค์ในบาป” (สดุดี 51:4–5) ข้อความนี้หมายความว่า “ข้าพระองค์ไม่สามารถทำบาปได้เช่นนี้ เพราะข้า พระองค์คือเมล็ดของบาปโดยกำเนิดข้าพระองค์เป็นผู้มีบาปที่ร้ายแรงอย่างยิ่งดังนั้นหากพระองค์นำบาปของข้าพระองค์ไปข้าพระองค์สามารถชำระบาปจากบาปทั้งหมดและเป็นผู้ชอบธรรมแต่
หากพระองค์ไม่นำบาปไปทั้งหมด ข้าพระองค์ต้องตกนรก ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระองค์ พระเจ้า และ การพิพากษาของพระองค์”
จากที่กล่าวว่าในสายพระเนตรของพระเจ้ามนุษย์ทุกคนเป็นผู้มีบาปเพราะพวกเขารับบาป
เป็นมรดกจากพ่อแม่ของพวกเขาพวกเขาเกิดมาเป็นผู้มีบาปที่ไม่ได้คำนึงถึงการกระทำของพวกเขา มีหนทางเดียวที่จะรอดจากบาปคือการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ระบบการศึกษาได้สอนเด็กๆของเรา ในสิ่งตรงกันข้ามกับความจริง ที่มีข้อความที่เป็นกุญแจไปสู่การสรุปเรื่องของพฤติกรรมตามนี้ “มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนดีโดยธรรมชาติ เกิดมาและอยู่อย่างบริสุทธิ์ ท่านทำความดีได้ เพียง แค่ท่านพยายาม” พวกเขากล่าวถึงแต่สิ่งดีๆ มนุษย์อยู่ภายใต้คำสอนที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม แต่ ทำไมพวกเขาทำบาปในหัวใจหรือทำบาปด้วยเนื้อหนังในสังคมของพวกเขา?ที่พวกเขาทำเช่นนั้น
เพราะว่าพวกเขาเกิดมาพร้อมกับบาปมนุษย์เกิดมาเหมือนกับเป็นเมล็ดของบาปนุษย์ช่วยอะไรไม่
ได้แต่ทำบาป ผ่านความต้องการที่จะทำความดีของเขาหรือเธอ นี่คือข้อพิสูจน์ว่า เราเกิดมา พร้อมกับบาป
 
 

ท่านจะต้องรู้จักตัวท่านเอง

 
ไม่มีใครช่วยได้เพราะพวกเราเกิดมาพร้อมกับบาปนี่คือสถานะโดยกำเนิดของมนุษยชาติ
อันดับแรกจะต้องรู้จักตัวของเราก่อนโสเครติสกล่าวว่า “รู้จักตัวเอง!” และพระเยซูตรัสว่า “เจ้าคือ ผู้มีบาป เพราะเจ้าอยู่ในครรภ์ของบาป และถือกำเนิดในความผิดบาป ดังนั้นเจ้าจะต้องได้รับ การยกความผิดบาปของเจ้า” รู้จักตัวเอง คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดในตัวของเขาเอง เกือบทุกคน ที่มีชีวิตอยู่และตายโดยไม่รู้จักตัวเองผู้ที่เข้าใจและเชื่อในความจริงของของพระเยซูหลังจากทราบว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งของความชั่วร้ายคือคนฉลาด พวกเขามีสิทธิที่จะเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์
ผู้ที่ไม่รู้จักตัวเองจะสอนให้คนอื่นหลอกลวงและไม่ทำบาปอีกต่อไปพวกเขาจะสอนให้คนอื่นไม่แสดงบาปที่อยู่ภายในออกมาผู้ศึกษาศาสนาฝึกฝนพวกเขาให้ไม่ทำบาปและปิดบังบาปของพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพยายาม หนีออกจากมัน พวกเขาจึงอยู่บนหนทางไปนรก พวกเขา เป็นใคร? พวกเขาคือ คนใช้ของซาตานเป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ไม่ดี สิ่งที่พวกเขาสอนไม่ใช่สิ่งที่ พระเยซูทรงสอน เรา แน่นอนพระองค์ไม่ทรงบอกให้เราทำบาป แต่พระองค์ตรัสกับเราว่า “เจ้าคือ ผู้มีบาปและค่าจ้างของบาปคือความตายเจ้ากำลังอยู่บนหนทางของการถูกทำลายเพราะบาปของ
เจ้าดังนั้นเจ้าจะต้องได้รับการชำระบาปรับของขวัญจากการไถ่บาปที่ช่วยเจ้าให้รอดจากบาปทั้ง
หมดของเจ้า จากนั้นเจ้าจะได้รับการยกความผิดบาปทั้งหมด และจะได้รับชีวิตนิรันดร์ เจ้าจะเป็น ผู้ชอบธรรมเป็นนักบุญที่ล้ำค่า และเป็นบุตรของพระเจ้า”
 
 

ทำไมพระเจ้าทรงประทานธรรมบัญญัติให้แก่มนุษยชาติ?

 
เปาโลกล่าวว่า“เมื่อมีธรรมบัญญัติก็มีการละเมิดธรรมบัญญัติปรากฏมากขึ้นแต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้นที่นั่นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น” (โรม 5:20) พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้พวก เราเพื่อให้บาปของเราเผยออกมามากยิ่งขึ้น (โรม 7:13) พระองค์ประทานธรรมบัญญัติของพระ องค์ให้กับผู้มีบาปเพื่อให้พวกเขายอมรับบาปของพวกเขาอย่างจริงจัง
พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้ชาวอิสราเอลที่เป็นทายาทของจาคอปที่เคยอาศัยอยู่ในป่าในบทอพยพพระเจ้าประทานพระบัญญัติทั้ง 613 ข้อมา ทำไมพระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้ มนุษย์? พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้เราเป็นอันดับแรกเพราะพระองค์ประสงค์ให้พวกเรา
ทราบถึงบาปตัวเองและอันดับสองเพราะว่าพวกเขาเกิดมาพร้อมกับบาป
พระบัญญัติ 10 ประการของธรรมบัญญัติ แสดงถึงความร้ายแรงอย่างยิ่งของผู้มีบาปที่ มนุษย์เราเป็นอยู่ “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน….. อย่าออก พระนามของพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้ จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์….. จงให้เกียรติ แก่บิดามารดาของเจ้า เพื่อกายของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดินซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่เจ้า อย่า ฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี ผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภ ครัวเรือนของเพื่อนบ้าน…..หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของเพื่อนบ้าน” (อพยพ 20:3–17)
พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้เราและทรงสอนเราถึงบาปประเภทต่างๆที่มีอยู่ในหัวใจ
ของเราทรงสอนเราว่าเราคือผู้มีบาปก่อนพระเจ้าและทรงทำให้เรารู้ว่าเราคือผู้มีบาปเพราะเราไม่
สามารถรักษาธรรมบัญญัติได้
มนุษย์สามารถรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าไหม?เมื่อพระเจ้าบอกกับชาวอิสราเอลและคนนอกรีตไม่ให้มีพระเจ้าองค์อื่น นอกจากพระองค์พระองค์ประสงค์ที่จะประทานแสงสว่างให้กับ
พวกเขาผู้เคยเป็นผู้มีบาปตั้งแต่ที่ตนไม่สามารถรักษาได้แม้แต่ข้อแรกของธรรมบัญญัติพวกเขา
ทราบผ่านพระบัญญัติว่าพวกเขารักสรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น มากกว่าผู้ทรงสร้าง พวกเขาทราบว่า พวกเขากล่าวพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควรทราบว่าพวกเขาสร้างและเชื่อฟังรูปเคารพที่พระเจ้าทรงเกลียดชังและทราบว่าพวกเขาไม่ได้พักผ่อนเมื่อพระเจ้าประทานการพักผ่อนให้กับพวกเขา พวกเขาก็พบว่าพวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพ่อแม่ของตัวเอง พวกเขาทำการฆาตกรรม, ล่วงประเวณี และพวกเขาละเมิดกฎที่พระเจ้าทรงประทานให้พวกเขาพวกเขาจึงไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้าได้
 
 
ธรรมบัญญัติมีอำนาจเหนือผู้ที่ยังไม่ได้รับการยกความผิดบาปเลย
 
ตอนนี้ท่านเข้าใจเหตุผลที่พระเจ้าประทานพระบัญญัติให้เราไหม? พระเจ้าประทานพระ
บัญญัติให้ผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่เป็นอันดับแรก“ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายท่านไม่รู้หรือ(ข้าพเจ้าพูดกับคนที่รู้ธรรมบัญญัติแล้ว)ว่าธรรมบัญญัตินั้นมีอำนาจเหนือมนุษย์ก็เฉพาะในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น?” (โรม 7:1) พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้กับผู้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ และยังไม่ได้เกิด ใหม่แล้วทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจภายใต้บาปธรรมบัญญัติมีอำนาจเหนือมนุษย์นานเท่าที่เขาหรือ
เธอมีชีวิตอยู่ทายาทของอดัมทุกคนมีบาปทั้ง 12 ชนิดในหัวใจของเขาหรือเธอ พระองค์บอก กับพวกเขาว่า “พระเจ้าทรงตรัสกับท่านว่าไม่ให้ล่วงประเวณี พระเจ้าตรัสกับท่านว่าไม่ให้ฆ่าคน แต่ท่านทำการฆาตกรรมด้วยความเกลียดท่านเป็นผู้มีบาปที่ทำการฆาตกรรมและทำการล่วงประ
เวณีพระเจ้าตรัสกับท่านไม่ให้ขโมยแต่ท่านก็ยังขโมยอีกดังนั้นท่านจึงเป็นโจร”เมื่อเป็นเช่นนี้บาปจึงอยู่ในที่ที่ธรรมบัญญัติอยู่
นี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า “ดูก่อน พี่น้องทั้งหลายท่านไม่รู้หรือ (ข้าพเจ้าพูดกับคนที่รู้ ธรรมบัญญัติแล้ว) ว่าธรรมบัญญัตินั้นมีอำนาจเหนือ มนุษย์ก็เฉพาะในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น?” ธรรมบัญญัติมีอำนาจเหนือผู้มีบาปที่ยังไม่ได้รับการยกความผิดบาปเลยสำหรับคนนอกรีตที่ยังไม่ทราบธรรมบัญญัติของพระเจ้าจิตใต้สำนึกของพวกเขาจึงมาอยู่ธรรมบัญญัติเพื่อพวกเขาตอนที่
พวกเขาทำความชั่ว จิตใต้สำนึกของพวกเขาจึงบอกกับพวกเขาว่า พวกเขามีบาป หน้าของ ของผู้ที่ เชื่อก็เช่นเดียวกันเป็นเหมือนกับธรรมบัญญัติเพื่อพวกเขาและพวกเขาก็ตระหนักถึงบาปผ่านจิตสำนึกของพวกเขา (โรม 2:15)
ทำไมท่านเชื่อฟังพระองค์ผู้สร้างตามที่จิตสำนึกบอกกับท่านว่านี่คือผู้สร้าง?ทำไมพวกเขาไม่ค้นหาพระเจ้า? ทำไมท่านหลอกใจท่านเอง? ท่านควรจะละอายใจต่อบาปของท่าน แต่ผู้มีบาป ที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้าและผู้ที่หลอกตังเองนั้นไม่มีความละอายใจ
ถ้าเรามีบาปเราละอายใจเมื่อเรามองไปบนท้องฟ้า โลก คนอื่นๆ หรือสรรพสิ่งอื่นๆ พระ เจ้าประทานจิตสำนึกให้กับมนุษยชาติและกฎของจิตสำนึกเพื่อชี้บาปออกมาแต่พวกเขาส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่โดยปราศจากพระเจ้าแสร้งสวดมนต์อยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าและดำรงชีวิตอยู่ตามความพอใจของพวกเขา พวกเขายึดอยู่กับนรก เปาโลเตือนพวกเขา. ห้เอาใจใส่ธรรมบัญญัติว่า “ดูก่อน พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่รู้หรือ (ข้าพเจ้า พูดกับคนที่รู้ธรรมบัญญัติแล้ว) ว่าธรรมบัญญัตินั้น มีอำนาจเหนือมนุษย์ก็เฉพาะในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น?” มนุษย์เราจะต้องเกิดสองครั้ง ครั้ง หนึ่งคือจะต้องเกิดเป็นผู้มีบาป และอีกครั้งด้วยการอยู่ด้วยความชอบธรรม
เปาโลได้อธิบายวิธีการที่พระเยซูทรงช่วยพวกเราให้รอดจากกฎแห่งบาปตามนี้“เป็นต้นว่าผู้หญิงที่สามียังมีชีวิตอยู่นั้นต้องอยู่ในกฎประเพณี สามีภรรยา แต่ถ้าสามีตายผู้หญิงก็พ้นจากกฎ นั้นฉะนั้นถ้าผู้หญิงนั้นไปหลับนอนกับชายอื่นในเมื่อสามียังมีชีวิตอยู่นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วง
ประเวณี แต่ถ้าสามีตายแล้ว นางก็พ้นจากกฎประเพณีสามีภรรยา แม้นางไปเป็นภรรยาชายอื่น ก็หา ผิดประเวณีไม่” (โรม 7:2–3)
ผู้หญิงที่มีสามีแล้วมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวเรียกว่าผิดประเวณีแต่ถ้าสามีของเธอตายและ
แล้วเธอแต่งงานกับชายอื่นมันก็จะไม่ผิด กฎเช่นเดียวกันนี้จึงถูกดัดแปลงไปสู่การมองกฎของบาป ธรรมบัญญัติมีอำนาจเหนือทายาทผู้มีบาปของอดัมแล้วยังไม่ได้รับการยกความผิดบาปมันบอก
พวกเขาว่า“ท่านคือผู้มีบาป”ดังนั้นพวกเขาจึงมาเพื่อสารภาพบาปของพวกเขาใต้ธรรมบัญญัติแล้วกล่าวว่า “ฉันจะต้องตกนรก ฉันเป็นผู้มีบาป มันเป็นธรรมชาติที่ฉันต้องตกนรก เพราะค่าจ้าง ของบาป”แต่ถ้าเราตายเพื่อธรรมบัญญัติผ่านร่างกายของพระคริสต์ธรรมบัญญัติก็จะไม่มีอำนาจ
เหนือเราอีกต่อไป เพราะพวกเราได้ทำพิธีบัพติสมากับพระคริสต์แล้ว
 
 
ตัวของเรานั้นได้ตายไปแล้ว
 
พระเยซูทรงดูแลสามีเก่าของเรา และทรงอนุญาตให้เราได้แต่งงานเพื่อตกเป็นของพระองค์ “เช่นนั้นแหละพี่น้องทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ตายจากธรรมบัญญัติทางกายของพระคริสต์ เพื่อ ท่านจะตกเป็นของผู้อื่น—เพื่อเราทั้งหลายจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า” (โรม 7:4) พระเจ้าประ ทานธรรมบัญญัติให้กับมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาพร้อมกับบาปตามบรรพบุรุษคืออดัมเพื่อให้บาปเปิด
เผยมามากขึ้น พระองค์ทรงช่วยพวกเขา ผ่านทางกายของพระคริสต์ พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ บนสถานที่ของเรามันถูกต้องไหมถ้าเราจะต้องตกนรกตามกฎของพระเจ้า ถูกต้องอยู่แล้ว อย่างไร ก็ตามพระเยซูถูกส่งมายังโลกนี้เพื่อนำบาปทั้งหมดไปพร้อมกับบัพติสมาของพระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนทรงถูกพิพากษาและทรงได้รับการสาปแช่งจากการลงโทษของธรรมบัญญัติแทน
พวกเราเพียงสิ่งนี้หรือสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้รอดและเกิดใหม่อีกครั้งโดยการเชื่อ
ผู้ที่ไม่ได้เกิดใหม่จะต้องตกนรกพวกเขาจะต้องเชื่อในพระเยซูและได้รับการช่วยให้รอด ต้องตายอีกครั้งพร้อมกับพระองค์ เพื่อเป็นผู้ถูกสร้างสรรและเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ ถ้าตัว ของเราไม่ได้รับการพิพากษาตามพระบัญญัติแม้ว่าเราได้รวมความศรัทธาของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์เราจะต้องได้รับการพิพากษาและถูกส่งไปนรก
ผู้ไม่เชื่อดำรงชีวิตอยู่อย่างดีมีความสุขทุกๆอย่างมีชีวิตที่ดีสามารถทำได้แต่พวกเขาไม่สน
ใจเกี่ยวกับการลงโทษอันเป็นนิรันดร์ของพวกเขามนุษย์ทุกคนควรจะได้รับการยกความผิดบาป
โดยพระเยซูในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ทุกๆคนที่ตายไปครั้งหนึ่งพร้อมพระเยซูผ่าน
ความศรัทธาเพราะเราไม่ได้เกิดใหม่หลังจากออกไปจากโลกใบนี้ เราจะต้องถูกฆ่าครั้งหนึ่ง และ นำบาปของเราให้ท่านนำออกไปผ่านความศรัทธาในพระเยซูคริสต์ของเรา ผ่านใครนะ? ผ่านกาย ของพระเยซูคริสต์ อย่างไรล่ะ? โดยการเชื่อว่าพระเยซูทรงเสด็จมายังโลกนี้ และทรงนำบาป ทั้งหมดของเราไป ตายไหม? มีใครที่ยังไม่ตายเลยไหม? ท่านอาจจะประหลาดใจว่า “เราตายไป แล้วอย่างไรนี่? เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร หากเราตายแล้ว?” นี่คือความลับ มันเป็นความลับ ที่ไม่มีศาสนาใดไขปริศนาได้
มีเพียงการเกิดใหม่ที่กล่าวได้ว่าตัวของเรานั้นตายไปแล้ว ไปพร้อมกับพระเยซู ผู้มีบาป เกิดใหม่ได้และตัวของเขาเองตายไปได้เพียงแค่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าจากการเกิดใหม่และ
เมื่อผ่านสิ่งนี้พวกเขาจะเป็นคนรับใช้ของพระเจ้ามนุษยชาติทั้งหมดต้องฟังพระวจนะของพระเจ้า
จากนักบุญที่เกิดใหม่ท่านไม่สามารถเกิดใหม่อีกครั้งเมื่อท่านเพิกเฉยต่อศาสนาของพวกเขาแม้เปาโลไม่ได้เกิดใหม่โดยไม่มีพระคริสต์ทั้งๆที่เขาได้เรียนรู้พระวจนะของพระเจ้าจากหนึ่งในอาจารย์ที่โด่งดังในธรรมบัญญัติในสมัยนั้น เราขอขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอย่างสูง! เราสามารถนำผล ของความชอบธรรมสำหรับพระเจ้ามาโดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเกิดใหม่จากความตาย
เมื่อเราเกิดใหม่ผ่านกายของพระเยซูคริสต์ด้วยความศรัทธา
 
 
ตัณหาชั่วในอวัยวะของเราก่อกรรมชั่วนำไปสู่ความตาย
 
“เพราะว่าเมื่อเราดำเนินชีวิตตามทางโลกตัณหาชั่วที่ธรรมบัญญัติเร้าให้เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้อวัยวะของเราก่อกรรมชั่วนำไปสู่ความตาย” (โรม 7:5) “เมื่อเราดำเนินชีวิตตามทางโลก” หมายถึง “ก่อนที่เราจะได้เกิดใหม่”ตอนนั้นตัณหาชั่วในอวัยวะของเราก่อกรรมชั่วนำไปสู่ความตายเมื่อเรา
ไม่มีความศรัทธาผ่านทางกายของพระเยซูคริสต์ตัณหาชั่วจะทำงานอย่างสม่ำเสมอในร่างกายของ
เรามีบาปทั้ง 12 ชนิดแตกต่างกันอยู่ในหัวใจของเรา เช่นในปัจจุบันนี้ การล่วงประเวณีได้ออกมา กระตุ้นหัวใจจากนั้นหัวใจก็สั่งไปที่สมอง “การล่วงประเวณีออกมาจากหลุม แล้วมันบอกให้ผม ทำการล่วงประเวณี” จากนั้นหัวสมองจึงตอบว่า “โอเคฉันจะส่งไปที่แขนและขาเพื่อปฏิบัติการ ทำตามที่ต้องการทำ เร็วๆเข้า!” หัวสมองสั่งอวัยวะให้ไปในที่เนื้อหนังให้ทำผิดประเวณี จาก นั้นร่างกายก็จะไปทำตามที่สมองสั่งในแบบเดียวกันเมื่อบาปของการฆ่าฟันออกมาจากหลุมของ
มัน รบกวนหัวใจ และหัวใจสั่งให้สมองโกรธใครซักคน จากนั้นหัวสมองสั่งการไปที่ร่างกาย ให้บาปเตรียมการทำงานในอวัยวะของเขา จึงต้องเป็นเช่นนี้
นี่คือเหตุผลที่เราสมควรจะได้รับการยกความผิดบาปหากเราไม่ได้รับการยกความผิดบาปก็ช่วยอะไรเราไม่ได้แต่ทำตามที่หัวใจสั่งการทุกคนควรจะเกิดใหม่ด้วยความจริงตามพระคัมภีร์ก่อนที่เกิดใหม่ ทุกคนกล่าวได้ว่า “นักบุญอันเป็นที่รัก ท่านจะต้องทำความดี” มันเหมือน กับการบอกว่าพวกเขารักษาโรคได้พวกเขากระตุ้นพวกเขาให้ชำระหัวใจของพวกเขาให้สะอาดแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักวิธีชำระบาปในหัวใจของพวกเขาก็ตาม
ตัณหาชั่วในอวัยวะของเราก่อกรรมชั่วนำไปสู่ความตายคนเราทำบาปเพราะเขาหรือเธอ
ต้องการทำบาปไหม? เราทำบาปเหมือนเราเป็นทาสของบาป เพราะเราเกิดมาพร้อมกับบาป เพราะ บาปทั้งหมดของเรายังไม่ออกไปหมดเลย และเพราะเรายังต้องตายผ่านทางกายของพระเยซูคริสต์ เราทำบาปแม้ว่าเราไม่ชอบที่จะทำมัน ดังนั้นทุกคนจะต้องได้รับยกความผิดบาป
มันจะดีสำหรับบาทหลวงผู้เคยทำบาปแต่ยังไม่เคยนำบาปออกไปให้พวกเขาหยุดรับใช้
พระเจ้าหรือให้พวกเขาไปขายกะหล่ำปลีดีกว่า ผมแนะนำให้พวกเขาทำแบบนั้นเช่นกัน มันจะดี กว่าการที่พวกเขาหลอกลวงคนเพื่อหาเงินและการเริ่มเป็นหมูอ้วนเพื่อสังเวยตัวของพวกเขาเอง
ถ้าใครบางไม่ได้รับการช่วยให้รอดจากบาปของเขาหรือเธอบาปและตัณหาในอวัยวะของ
เขาหรือเธอก่อกรรมชั่วนำไปสู่ความตายเรารับใช้พระเจ้าได้โดยการได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
หลังจากบาปทั้งหมดพ้นไปแล้วแต่เรารับใช้พระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติไม่ได้พระเจ้าจึงตรัสกับเราว่า“แต่บัดนี้เราได้พ้นจากธรรมบัญญัติ คือได้ตายจากธรรมบัญญัติ ที่ได้ผูกมัดเราไว้เพื่อเราจะได้ ไม่ประพฤติตามตัวอักษรในประมวลธรรมบัญญัติเก่าแต่จะดำเนินชีวิตใหม่ตามลักษณะพระวิญ
ญาณ” (โรม 7:6)
 
 
ธรรมบัญญัติทำให้เรามีบาปของเรามากเกิน
 
“ ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไร ว่าธรรมบัญญัติคือบาปหรือหาเป็นเช่นนั้นไม่แต่ว่าถ้ามิใช่
เพราะธรรมบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จักบาป เพราะว่า ถ้าธรรมบัญญัติมิได้ห้ามว่า ‘อย่าโลภ’ ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภแต่ว่าบาปนั้นได้ถือเอาพระบัญญัตินั้นเป็นช่องทำให้ตัณหา
ชั่วทุกอย่างเกิดขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะว่าถ้าไม่มีธรรมบัญญัติ บาปก็หาดำรงอยู่ไม่ เมื่อก่อน ข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติ แต่เมื่อมีธรรมบัญญัติขึ้น บาปก็เกิดขึ้น และข้าพเจ้าก็ ตายพระบัญญัตินั้นซึ่งมีขึ้นเพื่อการดำรงชีวิต ก็ปรากฏแล้วว่าเป็นเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย เพราะว่าบาปนั้นได้ถือเอาพระบัญญัตินั้นเป็นช่องทางล่อลวงข้าพเจ้าและประหารข้าพเจ้าให้ตาย
ด้วยพระบัญญัตินั้นเหตุฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์และข้อบัญญัติก็บริสุทธิ์ยุติธรรมและดีงามถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ดีกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องตายหรือหามิได้บาปต่างหากคือบาปซึ่งอาศัยสิ่งที่ดี
นั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตายเพื่อจะได้ปรากฏว่าบาปนั้นเป็นจริงและโดยอาศัยธรรมบัญญัตินั้นบาปก็ปรากฏว่าชั่วร้ายยิ่งนัก” (โรม 7:7–13)
เปาโลกล่าวว่า พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้กับพวกเราก็จะปรากฏเป็นบาปชั่วร้าย เขา กล่าวอีกว่า“เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประ
พฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้” (โรม 3:20) อย่างไร ก็ตามชาวคริสเตียนส่วนใหญ่พยายามที่จะอยู่ด้วยธรรมบัญญัติในขณะที่ยังไล่ตามความชอบธรรมของธรรมบัญญัติมีบาทหลวงหลายคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่มั่นใจว่าหลายๆคนป่วยเพราะการไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัติของพวกเขาและพวกเขาหายป่วยได้หากพวกเขาอยู่ด้วยธรรมบัญญัติ
เราจะเหมารวมว่าการไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัตินั้นเป็นสาเหตุของการเชื่อฟังโรคภัยเราได้
ไหม?คริสเตียนหลายคนคิดว่าสิ่งต่างๆไปได้ไม่ดีนักเพราะพวกเขามีความรู้สึกล้มเหลวในการมี
ชีวิตอยู่ตามพระวจนะของพระเจ้าพวกเขาคิดว่าพวกเขาป่วยเพราะบาปของพวกเขาดังนั้นพวกเขา
จึงกลัวบาปพวกเขาร้องให้ทุกวันว่า “จงร้องให้อย่างสม่ำเสมอ จงร้องให้ในทุกกรณี ร้องให้ ให้กับทุกสิ่ง” แม้ว่าพระคัมภีร์ไบเบิลจะบอกกับเราว่า “จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำ เสมอจงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซู คริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” (1 เธสะโลนิกา 5:16–18) แต่บาทหลวงที่สอนผิดๆให้ผู้คนร้องให้ สม่ำเสมอไม่ว่ากรณีใดๆหากเป็นเช่นนั้นรอยเหี่ยวย่นจากการร้องให้มากๆก็เป็นตัวชี้ความศรัทธา
ของพวกเขา
ผู้มีความศรัทธาอย่างถูกต้องตามพระบัญญัติอ้างผู้ที่ร้องให้มีความศรัทธาที่ดีผั้ที่คิดเช่นนั้นผิดหากท่านต้องร้องให้ท่านร้องให้ท่านจะไม่ร้องให้ที่โบสถ์ท่านจะร้องที่บ้านทำไมพระเยซูทรง
ถูกตรึงไม้กางเขน? เพื่อทรงทำให้เราเป็นคนที่ร้องให้ด้วยเรื่องเล็กน้อยใช่ไหม? หามิได้! พระ เยซูทรงนำความเศร้าโศก สิ่งเลวร้าย ความเจ็บปวด และความเจ็บป่วยทั้งหมดของเราออกไป ครั้งหนึ่งและเพื่อทั้งหมดเพื่อว่าการที่พระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนจะไม่ทำให้เราร้องให้อีก
ต่อไปและอยู่อย่างมีความสุขดังนั้นพวกเขาร้องทำไม?พวกเขาจะถูกส่งกลับบ้านหากพวกเขาร้อง
ในโบสถ์ของการเกิดใหม่ของพระเจ้า
 
 
ความแตกต่างระหว่างการเกิดใหม่และการไม่ได้เกิดใหม่คืออะไร?
 
ธรรมบัญญัติไม่เคยผิดและเป็นสิ่งบริสุทธิ์และคือความชอบธรรมอย่างแท้จริงหากเราไม่มีความชอบธรรมทั้งหมดเราอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับธรรมบัญญัติเพราะเราเกิดมาพร้อมกับบาปผู้เป็นทา
ยาทของอดัมเราทำในสิ่งที่เราไม่ควรทำในขณะที่เราไม่สามารถทำได้ในสิ่งที่เราควรจะทำได้ดัง
นั้นธรรมบัญญัติทำให้เรามีบาปชั่วร้าย
“เรารู้ว่าธรรมบัญญัตินั้นเป็นมาโดยฝ่ายพระวิญญาณแต่ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ถูกขายไว้ให้
อยู่ใต้บาปข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเองเพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะทำแต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้นเหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำและข้าพเจ้ายอมรับว่าธรรมบัญญัตินั้นดี ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมิใช่ผู้กระทำ แต่ว่าบาปซึ่งอยู่ในตัว ข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในตัวข้าพเจ้าไม่มีความดีประการใดอยู่เลย เพราะ เจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่แต่ซึ่งจะกระทำการดีนั้นข้าพเจ้าหาได้กระทำไม่ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้า
ปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายุงทำอยู่ ถึงแม้ ข้าพเจ้ายังทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำแต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพ
เจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่งคือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจ
จะกระทำความดีความชั่วก็พร้อมที่จะผุดขึ้นเพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าชื่นชม
ในธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งในการของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎ แห่งจิตใจของข้าพเจ้า และ ชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ใครจะช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตาย
ได้?” (โรม 7:14–24)
ข้อความที่เปาโลได้กล่าวเอาไว้ก่อนนี้คือเราทั้งหมดควรจะได้รับการพิพากษาครั้งหนึ่งโดยธรรมบัญญัติเขากล่าวว่ามีเพียงผู้ที่ได้รับการลงโทษจากพระเจ้าและการพิพากษาของธรรมบัญญัติผ่านทางกายของพระเยซูทั้งหมดสามารถนำไปสู่ความชอบธรรมของพระเจ้าได้ไม่มีสิ่งดีอยู่ในตัว
เขาเลยดังนั้นคนนั้นก็คือคนที่เกิดใหม่แต่มีข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสองสิ่งนี้คือผู้ที่เกิดใหม่ที่มีทั้งเนื้อหนังและพระวิญญาณดังนั้นจึงมีความปรารถนาทั้งสองสิ่งในตัวของเขาเองแต่ผู้ที่ไม่เกิด
ใหม่อีกครั้งมีเพียงตัณหาของเนื้อหนังและพวกเขาต้องการทำบาปดังนั้นพวกเขาจึงห่วงแต่ว่าจะทำบาปได้อย่างสวยงามและมั่นคงได้อย่างไร มันคือจุดมุ่งหมายในชีวิตของพวกเขา ที่มีอยู่ทั่วไปในผู้ ที่ยังไม่เกิดใหม่
บาปทำให้มนุษย์ทำบาปในบทโรม 7:20 กล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้ายังทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ ปรารถนาจะทำก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำแต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั้นเองเป็นผู้กระทำ” มี บาปอยู่ในใจของผู้ที่เกิดใหม่หรือไม่? ไม่มีบาปมีอยู่ในหัวใจของผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่หรือ? ใช่แล้ว! ถ้าท่านมีบาป อยู่ในหัวใจของท่าน บาปจะทำงานในเนื้อหนัง และทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ “ด้วย ว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถึงแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ”มนุษย์ทำบาปตลอดชีวิตของพวกเขาเพราะพวก
เขาเกิดมาพร้อมกับบาป
การเกิดใหม่สามารถนำไปสู่พระวิญญาณได้เองแต่ผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่จะไปสู่สิ่งนั้นไม่ได้
พวกเขาไม่มีความเมตตาให้กับผู้อื่นมีบางคนถึงกับฆ่าลูกตัวเองหากลูกๆไม่เชื่อฟังพวกเขา ความโหดเหี้ยมย่างกรายเข้ามาในหัวใจของพวกเขาแม้ว่าพวกเขาไม่ได้ฆ่าลูกของตัวเองจริงๆก็
ตามแต่ก็ได้ฆ่าในหัวใจของพวกเขาอย่างนับครั้งไม่ถ้วนท่านเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะบอกกับท่านหรือไม่? แต่ความชอบธรรมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ พวกเขาขัดแย้งกัน แต่พวกเขาทำไม่ได้ จะไม่มีหัวใจที่โหดร้ายจะไม่ใช่ความขมขื่นและความโกรธเหมือนอย่างอื่น
ความชอบธรรมต้องการที่จะมีความเมตตาให้กับมนุษย์แม้ว่าพวกเขาอาจจะมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันก็ตาม มนุษย์ต้องการทำความดีเพราะทุก
คนถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากจินตนาการของพระเจ้าแต่ในขณะที่พวกเขายังคงมีบาปในหัว
ใจ จะมีเพียงสิ่งชั่วร้ายเท่านั้นที่ออกมาจากพวกเขา
คริสเตียนที่ยังไม่เกิดใหม่จะคุยกันเองว่า “ฉันต้องการทำความดี แม้ทำไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่า ทำไมฉันทำไม่ได้”พวกเขาจะต้องทราบว่าพวกเขาทำดีไม่ได้เพราะพวกเขาคือผู้มีบาปอยู่ในหัวใจที่ยังไม่ถูกช่วยให้รอดเลยการเกิดใหม่มีความปรารถนาของจิตวิญญาณเช่นเดียวกับมีตัณหาของ
เนื้อหนังแต่ผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่ไม่มีจิตวิญญาณนี่คือตัวบ่งชี้ความแตกต่างที่แบ่งแยกการเกิดใหม่ออกจากผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่
เปาโลได้กล่าวถึงสภาวะของการเกิดใหม่ของเราในบทที่ 7 ได้อธิบายธรรมบัญญัติไว้ใน โรม7:1 และจากนั้นเขาก็กล่าวว่าเขาทำความดีที่เขาปรารถนาจะทำไม่ได้ แต่เขาทำความชั่วที่เขา ไม่ปรารถนาจะทำ อีกนัยหนึ่งเปาโลไม่สามารถทำบาปและต้องการทำดีอย่างเดียว และเขาก็ทำได้ เพียงแค่สิ่งที่เขาไม่ปรารถนาทำ ในขณะที่สิ่งที่เขาปรารถนาทำจริงๆนั้นมันทำไม่ได้ “โอย ข้าพเจ้า เป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากร่างกายนี้ซึ่งเป็นของความตายได้?” เขาคร่ำครวญกับโชคชะตา ของเขาแต่ทันใดนั้นเขาก็กล่าวสรรเสริญพระเจ้าว่า “ขอขอบพระคุณ พระเจ้า ผ่านพระเยซูคริสต์ของเรา!”
ท่านเข้าใจความหมายนี้ไหม? เราผู้ที่เกิดใหม่จะเข้าใจสิ่งที่เขากล่าว แต่ผู้ที่ไม่เกิดใหม่จะไม่ เข้าใจเลย ดักแด้จะเป็นจักจั่นไม่ได้หากไม่เข้าใจสิ่งที่จักจั่นพูด “ว๊าว ฉันร้องเพลงหลายชั่วโมง บนต้นไม้ ลมเย็นจังเลย!” หนอนอาจจะตอบจากพื้นว่า “จริงหรือ ลมอะไรล่ะ!” มันไม่เข้าใจว่า อะไรที่จักจั่นพูดถึงแต่จักจั่นรู้ว่าลมคืออะไร
เพราะเปาโลได้เกิดใหม่เขาจึงอธิบายได้ถูกต้องระหว่างผู้ที่เกิดใหม่และผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่ ว่าผู้ที่ช่วยให้เขารอดจากบาปคือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงช่วยพวกเราหรือ? แน่นอน พระองค์ทรงช่วยพวกเรา “ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ ด้านฝ่ายเนื้อหนังของข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป”
ผู้มีบาปได้ถูกนำบาปไปให้พ้นได้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยหัวใจของพวกเขาแล้วพวกเขาเป็น
ทาสของเนื้อหนังด้วยอะไร? ด้วยเนื้อหนังของพวกเขา เนื้อหนังทำบาป เนื้อหนังต้องการสิ่งต่างๆ ของเนื้อหนังแต่พระวิญญาณต้องการสิ่งต่างๆของพระวิญญาณดังนั้นผู้ที่มีบาปได้ถูกนำบาปของ
เขาออกไปและต้องการที่จะเชื่อฟังพระเจ้าเพราะตอนนี้พวกเขามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว
ของเขาเองต่ผู้ที่มีบาปแต่ยังไม่ได้เอาบาปของเขาไปจะไม่สามารถได้รับการช่วยเหลือแต่เชื่อฟัง
บาปด้วยหัวใจ และเนื้อหนังของพวกเขา ผู้ที่ถูกนำบาปออกไปแล้ว สู่การเกิดใหม่สามารถเชื่อฟัง พระเจ้าด้วยจิตใจของพวกเขา แม้ว่าเนื้อหนังยังคงเชื่อฟังบาปอยู่ก็ตาม
 
 
กฎของจิตวิญญาณในชีวิตของพระเยซูคริสต์ทำให้เราพ้นจากกฎของความตาย
 
เรามาดูโรม8:1ผู้มีบาปที่ถูกนำบาปไปแล้วโดยการเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูจะไม่ถูกพิพากษาจากธรรมบัญญัติของพระเจ้าอีกต่อไปแม้เขาเกิดมาเป็นผู้มีบาปก็ตาม“เหตุฉะนั้นการลง
โทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย” (โรม 8:1–2)
เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่มีการลงโทษ! ผู้เกิด ใหม่ไม่มีบาปเหลือในหัวใจของพวกเขาและจะไม่มีการลงโทษพวกเขาเพราะกฎของพระวิญญาณของชีวิตในพระเยซูคริสต์ ทำให้พวกเขาอิสระจากกฎของบาปและความตาย พระเยซูเจ้าของเรา คือต้นกำเนิดของชีวิตพระองค์ทรงเสด็จมาเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้าทรงประสูตรโดยพระ
วิญญาณบริสุทธิ์ และทรงแบกรับบาปทั้งหมดของโลกนี้ไว้กับพระองค์ที่แม่น้ำจอร์แดน ผ่าน บัพติสมาของพระองค์ที่ทรงรับจากยอห์น การลงโทษในที่ของเราเพื่อพวกเราไปผ่านสิ่งนี้นั่นเอง
แล้วเราจะต้องตายอีกครั้งเพราะบาปของเราไหม? เรายังจะต้องถูกลงโทษอีกไหม? เรายังมี บาปอยู่ในตัวเองอยู่ไหมหากเราผ่านบาปทั้งหมดไปยังพระเยซูคริสต์พร้อมกับบัพติสมาของพระ
องค์แล้ว? ไม่อย่างแน่นอน! เราจะไม่ถูกลงโทษเพราะพระเยซูคริสต์ผู้ทรงรับบัพติสมา ณ แม่น้ำ จอร์แดนทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนและทรงฟื้นคืนพระชนม์ชีพขึ้นมาหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้ว 3 วัน เพื่อทรงช่วยผู้มีบาปทุกๆคน
การไถ่บาปของพระเจ้าทำให้เราพ้นจากการลงโทษของพระองค์ในขณะที่ธรรมบัญญัติก่อให้เกิดการลงโทษของพระเจ้า“เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้
ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย”การลงโทษของพระเจ้าคือการเปิดเผยว่าใครมีบาปบ้างแล้วพระเจ้าก็จะส่งพวกเขาไปสู่นรก แต่พระเยซูทรงช่วยให้เราพ้นจากกฎของ บาปและสิ้นพระ ชนม์พร้อมกับน้ำบาปทั้งหมดของเราไป พระองค์ทรงทำให้ผู้ที่เชื่อในพระคริสต์พ้นจากบาป บาป ของท่านล่ะ หมดไปหรือยัง?
“เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังไปทั้งพระเจ้าได้ทรงกระทำแล้วโดยพระองค์ได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปและเพื่อไถ่บาปพระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาปและสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้จะได้เสร็จในตัวเรา
ทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนังแต่ดำเนินตามฝ่ายพระวิญญาณ” (โรม 8:3–4)
พระเยซูทรงบอกกับเราอย่างชัดเจนว่าเนื้อหนังอ่อนกำลังและไม่สามารถเชื่อฟังความต้องการที่ชอบธรรมของธรรมบัญญัติกฎของพระเจ้านั้นดี และสวยงามอย่างแน่นอน แต่เราไม่ สามารถอยู่และมีชีวิตอยู่เพื่อมันได้เพราะเนื้อหนังของเราอ่อนกำลังเกินไปกฎของพระเจ้าต้องการให้เรามีความสมบูรณ์ มันต้องการให้เราเข้าถึงการเป็นผู้เชื่อฟังกฎของพระเจ้าอย่างเต็มรูปแบบ แต่เนื้อหนังของเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ครบตามความต้องการทั้งหมดของธรรมบัญญัติ เพราะ มันอ่อนกำลังอย่างมากดังนั้นธรรมบัญญัติทำให้เราถูกลงโทษจากพระเจ้าแต่ถ้าเราถูกลงโทษแล้ว
จะมีพระเยซูเพื่ออะไรล่ะ?
พระเจ้าส่งพระบุตรพระองค์เดียวของพระองค์มาเพื่อพวกเราพระเจ้าประทานความชอบ
ธรรมของพระองค์มาเพื่อเราใช้พระบุตรของพระองค์มาในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปและเพื่อ
ไถ่บาปพระเยซูถูกส่งมายังโลกนี้ในสภาพเสมือนเนื้อหนังพระเจ้าทรงผ่านบาปทั้งหมดของเราไป
ให้กับพระเยซูเพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อ
หนังแต่ตามฝ่ายพระวิญญาณบาปของเรา จะถูกนำออกให้พ้นจากเราโดยความเชื่อในพระเยซู
คริสต์ด้วยหัวใจของเรา บาปของเราถูกล้างออกไปเมื่อเรายอมสิ่งที่พระเยซูทรงทำให้เรา
 
 
ผู้ที่ดำเนินตามฝ่ายพระวิญญาณและตามฝ่ายเนื้อหนัง
 
 
มีคริสเตียนอยู่ 2 ประเภท คือผู้ที่เชื่อฟังความคิดของพวกเขาเองและเชื่อฟังพระวจนะของ ความจริงและต่อจากนั้นก็จะถูกช่วยให้รอดและเป็นผู้ที่ชอบธรรมในขณะที่เกือบจะตามมาก่อน
หน้านี้
“เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังที่ปักใจในสิ่งที่เป็นของเนื้อหนังแต่คนทั้งหลายที่
อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตายซึ่งปักใจอยู่กับพระ วิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข” (โรม 8:5–6) คนทั้งหลายที่คิดว่าการเชื่อ ในพระเยซูคือการอยู่ฝ่ายธรรมบัญญัติที่ไม่เคยสมบูรณ์เลย“เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังที่ปักใจในสิ่งที่เป็นของเนื้อหนัง”
นี่คือสิ่งที่เป็นของเนื้อหนัง เพื่อทำความสะอาดสิ่งที่อยู่ภายนอกเพียงอย่างเดียว คนทั้ง หลายที่พยายามปัดฝุ่นออกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลและไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์แม้พวกเขาต้องต่อสู้
อยู่กับภรรยาของพวกเขา และมีความชั่วร้ายอยู่ที่บ้านพวกเขาก็กลายเป็นนางฟ้าในวันอาทิตย์
“สวัสดี เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยินดีที่ได้พบคุณอีกครั้ง”
พวกเขากล่าวคำว่า “อาเมน” หลายๆครั้งเมื่อใดก็ตามที่บาทหลวงเทศน์ในเสียงที่ศักดิ์สิทธิ์ และกิริยาที่เมตตาพวกเขาออกมาจากโบสถ์อย่างอ่อนโยนหลังจากการบริการสักการะบูชาพวกเขามาแตกต่างกันหรือ ที่ไปปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา
“พระวจนะของพระเจ้ากล่าวอะไรกับเรานะ ฉันจำไม่ได้ แค่ให้เราไปดื่มกันหรือ”
พวกเขาคือนางฟ้าในโบสถ์ แต่พวกเขาปักใจอย่างไม่มีเวลาเมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากโบสถ์
ดังนั้นผู้มีบาปจะต้องอธิษฐานขอพระเจ้า“พระเจ้าได้โปรดช่วยข้าพระองค์ผู้น่าเวทนาให้
รอดด้วยข้าพระองค์ไม่สามารถเข้าไปสู่อาณาจักรสวรรค์และจะต้องตกนรกหากพระองค์ไม่ทรง
ช่วยแต่หากพระองค์ทรงล้างบาปทั้งหมดที่ข้าพระองค์ทำจนตายข้าพระองค์จะเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ได้ด้วยความศรัทธา” พวกเขาจะต้องวางใจในพระเจ้า
ผู้ที่เชื่อทุกคนได้รับการชำระบาปของพวกเขาและนำชีวิตฝ่ายพระวิญญาณเมื่อเขาหรือเธอ
เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า“แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระ
วิญญาณด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตายซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข” หากเราคิดและเชื่อตามความจริงของพระเจ้า สันติสุขก็จะมาสู่เรา “เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับ เนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า หาได้อยู่ใต้บังคับธรรมบัญญัติของพระเจ้าไม่ และที่จริงจะอยู่ใต้ บังคับธรรมบัญญัตินั้นไม่ได้และคนทั้งหลายที่อยู่ใต้เนื้อหนังจะเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าก็หามิได้” (โรม 8:7–8) ผู้ทำบาปที่ยังไม่ได้ถูกนำบาปออกไปเลยยังคงอยู่ใต้เนื้อหนัง และไม่เป็น ที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
“ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆแล้วท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อ
หนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ เป็นของพระองค์” (โรม 8:9) มีหลายคนสับ สนกับข้อความนี้เพราะเปาโลไม่ได้กล่าวถึงคำกล่าวตามจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งผู้ที่ไม่ได้เกิดใหม่จะ
สับสนกับโรมบทที่ 7 และ 8 พวกเขาจะไม่เข้าใจส่วนนี้ของพระคัมภีร์ได้เลย แต่เราผู้ที่เกิดใหม่ ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเนื้อหนังจะเข้าใจได้
อ่านอย่างละเอียดในสิ่งที่เปาโลกล่าวไว้ข้างต้นพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในตัวท่านไหม? ผู้ใดไม่ได้พระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ เมื่อไม่เป็นของพระองค์ก็หมาย ความว่าคนคนนั้นก็คือคนของซาตานและผู้มีบาปที่งต้องตกนรก
“พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงปรับโทษบาปเพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้จะได้สำเร็จใน
ตัวเราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนังแต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ” (โรม 8:10-11)
พระเยซูของเราผู้ทรงกำเนิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เสด็จมายังโลกนี้ในเนื้อหนัง และทรงนำบาปทั้งหมดของเราออกไปพระองค์ทรงเสด็จเข้ามาในหัวใจของผู้ที่เชื่อพระองค์ใน
การชำระบาปและทรงประทับอยู่ในหัวใจของพวกเขาทุกคนพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาในหัว
ใจและพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงล้างบาปทั้งหมดของเราออกไปให้ขาวสะอาดเหมือนกับหิมะพระองค์ทรงประทานชีวิตในเนื้อหนังตอนที่พระเยซูเสด็จลงมายังโลกนี้อีกครั้ง“พระองค์ผู้ทรงชุบให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้นจะทรงกระทำให้กายซึ่งต้องตายของท่านเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย”
 
 
พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลาย เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า
 
เราจะต้องอยู่ด้วยความศรัทธาในพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่เราเกิดใหม่ “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายเหตุฉะนั้นเราทั้งหลายเป็นหนี้แต่มิใช่เป็นหนี้ฝ่ายเนื้อหนังที่จะดำเนินชีวิต
ตามเนื้อหนังเพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดย ฝ่ายพระวิญญาณท่านได้ทำลายการของฝ่ายกายเสียท่านก็จะดำรงชีวิตได้เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใดผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้าเหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความ
กลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้าให้เราทั้งหลายเรียกร้องพระเจ้าว่า ‘อับบา คือพระบิดา’ พระวิญญาณนั้นร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็น บุตรของพระเจ้า และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้วเราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และ เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์เมื่อเราทั้งหลายทุกข์ทรมาณด้วยกันกับพระองค์นั้นก็เพื่อเราทั้งหลายได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย” (โรม 8:12–17) เราร้อง เรียกว่า “อับบา คือพระบิดา” เพราะเราได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่หัวใจทาสและความกลัว
“พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายเราทั้งหลายเป็นบุตรของ
พระเจ้า”อันดับแรกสุดพระวิญญาณนั้นเป็นพยานว่าเราได้รับการยกหนี้บาปผ่านรูปธรรมของพระวจนะของพระเจ้าพยานอันดับสองคือที่เราไม่มีบาปพระวิญญาณได้เกิดมาเป็นพยานที่เราถูกช่วย
ให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กระทำในหัวใจของผู้ที่ได้รับการนำบาปออกไป “ไม่มีผู้ใด เป็น คนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย” (โรม 3:10) ตามจริงแล้ว คือก่อนที่พระเจ้าจะทรงนำ บาปของเราออกไป ข้อความด้านล่างนี้ได้เขียนไว้ว่าเราไถ่บาปให้พ้นด้วยพระกรุณาของพระองค์ ผ่านการชำระบาปที่อยู่ในพระเยซู (โรม 3:24) ซึ่งก็เขียนไว้ว่าวิญญาณนั้นเป็นพยานที่ว่า เรา เป็นบุตรของพระเจ้าพระวิญญาณเสด็จมาสู่เราเมื่อเรายอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อเราแต่ถ้าเรา
ไม่เชื่อพระวิญญาณก็จะไม่ได้อยู่ในตัวเรา และหากเรายอมรับไว้ในหัวใจของเรา พระวิญญาณจะ เป็นพยาน “ท่านคือความชอบธรรม ท่านคือบุตรของเรา ท่านถูกพิพากษา ท่านคือคนของเรา” “ถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้วเราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และ เป็นทายาทร่วมกับ พระคริสต์เมื่อเราทั้งหลายทุกข์ทรมาณด้วยกันกับพระองค์นั้นก็เพื่อเราทั้งหลายได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย” นี่คือความเหมาะสมทั้งหมดสำหรับบุตรของพระเจ้า ที่ได้ทรมานพระเยซูของ เราเช่นเดียวกับศักดิ์ศรีในพระองค์ผู้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ให้พระวิญญาณนำพวกเขาได้วาง
ความหวังของพวกเขาบนทางเข้าของอาณาจักรสวรรค์
 
 
เรามีชีวิตอยู่ในความหวังของอาณาจักรกำหนดพันปีและอาณาจักรของสวรรค์ใน ลักษณะของความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน
 
เราลองมาดูโรม8:18–25 “เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สม ควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรีที่จะเผยให้แก่เราทั้งหลาย ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มี ความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏเพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้น จะให้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าใน เสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าเรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลัง
คร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้ และไม่ใช่เท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร คือที่ จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้แต่เพียงความหวังใจ แต่ความ หวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้ หาเป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น แต่ถ้า เราทั้งหลายรอคอยหวังใจในสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียงคอยสิ่งนั้น”
เราคือผลแรกของพระวิญญาณผู้ที่เกิดใหม่คือผลแรกของการคืนชีพพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผลแรกของการคืนชีพและเราคือส่วนหนึ่งของพระคริสต์ในการเป็นส่วนหนึ่งของการคืนชีพครั้ง
แรกจากนั้นก็จะมาสู่ตอนท้ายผู้ที่ไม่นับถือพระเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งในการคืนชีพครั้งที่สองเพื่อการพิพากษานี่คือเหตุผลที่เปาโลกล่าวว่า“เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบันไม่
สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรีที่จะเผยให้แก่เราทั้งหลาย ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มี ความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ”เขาอ้างถึงกำหนดพันปีและอาณาจักรสวรรค์เราจะเปลี่ยนไปเมื่อเวลาของการอวยพระพรมาถึงบุตรของพระเจ้าจะฟื้นขึ้นมาใหม่
จากความตายอีกครั้งและแต่ละคนจะได้รับชีวิตนิรันดร์เนื้อหนังจะฟื้นขึ้นมาจากความตายอีกครั้งอย่างแท้จริง (ซึ่งจิตวิญญาณของเราได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว) พระเจ้าจะทรงต่ออายุทั้งหมด และจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขราวกับกษัตริย์กว่า 1000 ปี
สรรพสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ รอคอยการแสดงของบุตรของพระเจ้า สรรพสิ่งจะเปลี่ยน แปลงเหมือนกับที่เราเปลี่ยน จะไม่มีการเจ็บ การทุกข์ทรมาน หรือแม้แต่การตายในกำหนดพันปี แต่เราคร่ำครวญตอนนี้ทำไม? เพราะว่าเนื้อหนังนั้นอ่อนแอ จิตวิญญาณของเราคร่ำควรเพื่ออะไร? มันคร่ำครวญเพื่อการชำระบาปของร่างกายของเรา
“ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตรคือที่จะทรงให้กายของเราทั้ง
หลายรอดตาย เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้แต่เพียงความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้ หาเป็นความหวังใจไม่ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็นแต่ถ้าเราทั้งหลายรอคอยหวังใจใน
สิ่งที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียงคอยสิ่งนั้น” (โรม 8:23–25)
เราคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้เพียงความหวังใจ พวก เราผู้ที่ได้รับการนำบาปออกไปให้พ้นทั้งหมดจะเข้าไปในอาณาจักรกำหนดพันปีและอาณาจักร
สวรรค์ เราจะไม่ตายแม้จะถึงตอนอวสานของโลก พระเยซูจะเสด็จมายังโลกนี้อีกครั้ง ช่วงวาระ สุดท้ายของโลกพระองค์ทรงสร้างทุกอย่างใหม่และจะทรงฟื้นสร้างเนื้อหนังของความชอบธรรม
ขึ้นมาให้ พระองค์จะมีอำนาจเหนือพวกเขามากว่าพันปี
กาลอวสานของโลกคือความสิ้นหวังของผู้มีบาปแต่คือความหวังใหม่ของความชอบธรรม เปาโลหวังไว้กับสิ่งนี้ท่านคร่ำครวญและรอคอยการรอดของท่านหรือไม่?พระวิญญาณรอคอยด้วยหรือไม่? เราจะเปลี่ยนไปเป็นกายจิตเหมือนกับการของพระคริสต์ที่ไม่รู้จักเจ็บปวดและอ่อนแอ
 
 
พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยความชอบธรรมให้มีความศรัทธา
 
พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเหลือพวกเราให้มีความศรัทธา เราหวังในสิ่งที่เราเห็นหรือ? ไม่ เราหวังในสิ่งที่เรายังไม่เห็น “ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเรา เมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานของสิ่งใดอย่างไรแต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเราในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำและพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ก็ทรงทราบความหมายของพระ
วิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนที่ชอบพระทัยพระเจ้า” (โรม 8:26–27)
จริงๆแล้วพระวิญญาณประสงค์อะไรภายในตัวเรา? พระวิญญาณช่วยเราทำอะไร? ท่าน หวังเพื่อสิ่งใด? เราหวังสวรรค์และโลกใหม่ (2 เปโตร 3:13) และอาณาจักรสวรรค์ เราไม่ประสงค์ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่เสื่อมสลายนี้อีกต่อไป เราเหนื่อยและหวังเพื่อพระเยซูของเรา เราต้องการอยู่อย่างนิรันดร์โดยไม่มีบาป ไม่มีการเจ็บป่วย ไม่มีวิญญาณชั่วร้าย เราต้องการจะ มีชีวิตอยู่ด้วยความสุข ความสันติ ความรัก และความอดทนในการเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ และ ซึ่งกันและกัน
ดังนั้นพระวิญญาณคร่ำครวญและอธิฐานขอร้องเพื่อพวกเรารอคอยสวรรค์ใหม่และโลก
ใหม่ พูดตรงๆเลยว่าเราไม่มีความพอใจในโลกนี้ ยกเว้นเพื่อเล่นซอคเกอร์ ครั้งหนึ่งในขณะหนึ่ง พร้อมกับรับใช้พระเจ้าเราอยู่บนโลกนี้เพราะเราสนใจคำสอนตามพระคัมภีร์แต่สำหรับอำนาจที่ได้รับมอบหมายอันยิ่งใหญ่นี้ความชอบธรรมจะไม่มีเหตุผลอยู่ในโลกนี้
 
 
พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง
 
เรามาดูโรม 8:28–30 “เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์
ได้ทรงทราบอยู่แล้วผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมากและบรรดาผู้ที่พระองค์
ได้ทรงตั้งไว้นั้นพระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วยและผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้นพระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรมและผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรมพระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย”
ในโรม 8:28 เปาโลกล่าวว่า “เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดี ในทุกสิ่งคือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”ข้อความนี้สำคัญมากหลายคนคิดว่า“ฉันเกิดมาทำไม?พระเจ้าควรจะให้ฉันอยู่ในที่ที่ไม่มีซาตานพระองค์น่าจะยอมให้
ฉันอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ตั้งแต่แรกทำไม่พระองค์ทรงทำให้ฉันเป็นเช่นนี้?”มีบางคนที่เกิดมาในสถานการณ์ที่ไม่ดีตอนแรกก็ต่อต้านพ่อแม่ของตัวเองและต่อต้านพระเจ้า“ทำไมท่านทำให้ฉันเกิดใหม่ด้วยความทุกข์ยาก?”
ข้อความนี้จัดเตรียมคำตอบที่ถูกต้องให้กับเราตามคำถามเช่นนี้เราเกิดเป็นสรรพสิ่งที่พระ
เจ้าทรงสร้างใช่หรือไม่?เราคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นที่พระเจ้าทรงสร้างตามลักษณะพระฉายของพระ
องค์นี่คือวัตถุประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เราอยู่ในโลกนี้พระคัมภีร์กล่าวว่า“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกืดผลอันดีในทุกสิ่งคือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”เพราะบาปเดิมที่สืบทอดมาจากอดัมและอีฟบรรพบุรุษของเราผู้ที่ถูกหลอกโดยปีศาจเรา
เกิดมาเป็นผู้มีบาปและทุกข์ทรมาณแต่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มาเพื่อเราเพื่อทำให้เราเป็นบุตร
ของพระองค์ผ่านความศรัทธานี่คือวัตถุประสงค์ที่พระองค์ทรงสร้างเราขึ้นมาพระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้เรามีความสุขและมีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าพร้อมกับพระเยซูคริสต์และพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาในอาณาจักรกำหนดพันปีและอาณาจักรสวรรค์
“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกืดผลอันดีในทุกสิ่งคือคนทั้งปวงที่พระองค์
ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”พระประสงค์ของพระเจ้าเพื่อพวกเราจะสำเร็จลงเมื่อ
บาปของเราได้ถูกนำออกไปจากเรา มันไม่ถูกต้องใช่ไหม? เราไม่ควรมีความสุขกับการเกิดใหม่มา ยังโลกนี้หรือ? เมื่อเราคิดถึงศักดิ์ศรี เราจะมีความสุขในอนาคต เราไม่สามารถช่วยได้แต่มีความสุข เพื่อการเกิดใหม่ แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีความสุขและนี่เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธความรักของพระเจ้า
ท่านทราบว่ามีบาปและเชื้อโรคและเหตุผลที่ทุกอย่างดูเหมือนว่าดีเลิศเพื่อคนเลวในขณะที่พวกเขาพยายามทำดีให้ดูเหมือนทุกข์ทรมาณใช่ ไหม? นี่เป็นเพราะว่าเพียงเมื่อเราทุกข์ทรมาน เราจะมาค้นหาพระเจ้าเราจะพบพระองค์และจะเป็นบุตรของพระองค์โดยการได้รับการยกความ
ผิดบาปของเราพระเจ้าทรงให้คนชั่วที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้เพื่อช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีทุกสิ่ง
ท่านคิดเช่นนี้ไหม “ฉันไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าทรงทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ทำไมพระเจ้าทรงให้ ฉันเกิดมาในครอบครัวยากจนและทุกข์ทรมานนะ?”พระเจ้าทรงให้เราเกิดมาในโลกนี้ภายใต้อำ
นาจของซาตานและธรรมบัญญัติ ที่ทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าและทรงให้เรามีชีวิตนิรันดร์
เหมือนกับกษัตริย์พร้อมกับพระเยซูของเราในอาณาจักรของพระองค์พระเจ้าทรงช่วยเราให้เกิดผลดีทุกสิ่ง และทรงทำให้เราเป็นบุตรของพระองค์ นี่คือวัตถุประสงค์ของพระเจ้าที่จะทรงทำให้เรา เราไม่มีอะไรเลยที่จะบ่นและพึมพำในการต่อต้านพระเจ้า “ทำไมฉันทำเช่นนั้น ทำไมฉันอยู่ ทางนี้?” พระประสงค์ของพระเจ้าก็คือความสมบูรณ์ผ่านความทุกข์ทรมานเหล่านี้
อย่าบ่นเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของท่าน อย่าร้องเกี่ยวกับชีวิตร้ายๆของท่านอีกต่อไป “มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด” (ฮีบรู 9:27) มีพระกรุณา ของการไถ่บาปของพระเจ้าระหว่างการเกิดครั้งเดียวกับการพิพากษา เรา เชื่อในพระเยซูคริสต์ บาปทั้งหมดของเราได้ถูกนำให้พ้นไปด้วยพระกรุณาของพระเจ้า และเราอยู่ ภายใต้กำหนดพันปีและในอาณาจักรสวรรค์อย่างเป็นนิรันดร์ เราจะเรียกว่า “พระผู้เป็นเจ้าของ สรรพสิ่งทั้งปวง” ท่านเข้าใจหรือยังว่าทำไมพระเจ้าทรงทำให้ท่านทรมาน? เพราะทรงประทาน พระพรให้เราเป็นบุตรของพระองค์โดยการทำให้เราได้กลับคืนมาสู่พระองค์
ไม่มีเวลาสำหรับเรา ที่จะรับการยกหนี้บาปการช่วยให้รอดจากการพิพากษาของพระเจ้า
และการเป็นผู้ชอบธรรมเราสร้างความชอบธรรมทั้งหมดและเราเป็นบุตรของพระเจ้าได้ด้วยความศรัทธาการไถ่บาปของพระเจ้าไม่มีผลในกระบวนการระยะยาวของพิธีทำให้บริสุทธิ์ของเรา พระ เจ้าทรงช่วยเราครั้งหนึ่งและเพื่อทั้งหมดและทรงทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม
“เพราะว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตาม
ลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่
น้องเป็นอันมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระ องค์ทรงเรียกมานั้นพระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรง โปรดให้เป็นผู้ ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย” (โรม 8:29–30)
หลายคนเชื่อตาม “ลัทธิ 5 ข้อของแคลวิน” แต่พวกเขาเชื่อผิดๆ เปาโลกล่าวว่า “เพราะ ว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย
แห่งพระบุตรของพระองค์” พระเจ้าทรงตั้งเราให้เป็นบุตรของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้า ทรงตั้งให้เรากำเนิดมาในโลกนี้ภายใต้แผนการของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้เราเป็นตาม ลักษณะพระฉายของใคร? ให้เป็นตามลักษณะพระฉายของพระเจ้า ของพระบุตรของพระองค์
พระเจ้าทรงยอมให้เราเกิดและทรงรับเลี้ยงดูเราเหมือนกับบุตรของพระองค์ผ่านพระเยซู
คริสต์พระองค์ทรงสัญญาเพื่อส่งพระบุตรของพระองค์มาให้เราผู้ทรงเป็นตามลักษณะพระฉาย
ของพระบุตรของพระองค์พระเจ้าทรงเรียกเราผ่านพระเยซูคริสต์เหมือนเราเคยเป็นผู้มีบาปเหมือนกับผู้เคยเป็นทายาทของอดัม“บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเราและเรา
จะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) พระองค์ทรงเรียกเราหลังจากเรานำบาป ของเราออกไปหมดแล้ว พระองค์ทรงเรียกเราเพื่อให้เรามีความชอบธรรมด้วยความศรัทธา
 
 
พระเจ้าทรงทำให้เรามีความชอบธรรมและพระองค์ทรงประทานศักดิ์ศรีให้เรา
 
พระเจ้าทรงเรียกผู้มีบาปและทรงทำให้พวกเขาเป็นคนชอบธรรมครั้งเดียวและเพื่อทั้งหมด เราถูกทำให้เป็นคนชอบธรรมครั้งเดียวและเพื่อทั้งหมดด้วยการเชื่อว่าพระเยซูคริสต์คือผู้ช่วยให้
รอดของเรา ไม่ใช่ด้วยการค่อยๆเพิ่มขึ้นของการสังเวยบูชาตามที่นักเทววิทยายืนหยัดไว้ พระเจ้า ทรงเรียกผู้มีบาปและทำให้พวกเขาเป็นคนของธรรม—นี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงเรียกผู้มีบาป
“ผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ได้ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม” คนทั้ง หลายที่พระเจ้าทรงเรียก และผู้ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซู คริสต์ทรงทำนั้นได้มาเป็นคนชอบธรรม เรา มีบาปอย่างแน่นอนตามที่เราเป็นทายาทของอดัมมาก่อนแต่บาปของเราได้ถูกทำให้มันหายไปเมื่อ
เราเชื่อในความจริงที่พระเยซูทรงนำเอามันออกไปทั้งหมดอย่างแท้จริง แล้วท่านมีบาปหรือไม่? เราไม่มีบาปใดๆเหลืออยู่ในตัวเราแล้ว “ผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ได้ทรงโปรดให้ เป็นผู้ชอบธรรม”
คนชอบธรรมคือผู้ได้เป็นบุตรของพระเจ้ามันไม่จริงที่เราได้เป็นบุตรของพระองค์ในขั้น ตอนทีละก้าวแต่เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าที่มีสง่าราศีเพียงครั้งเดียวด้วยการไถ่บาปของพระองค์
“ผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ได้ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม” พระเจ้าทรงทำ ให้เราเป็นบุตรของพระองค์
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคริสเตียนเชื่อใน “5 ขั้นตอนของการไถ่บาป” การไถ่บาปและการ เป็นบุตรของพระเจ้าได้กระทำเพียงครั้งเดียวและเพื่อทั้งหมด มันต้องใช้เวลาบ้างเพื่อพวกเราใน การเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นคืนชีวิตของเรา เพื่อเราจะต้องรอคอยวินาทีที่พระเยซูเสด็จมาเพื่อเรา แต่การนำบาปออกไปให้พ้นจากเราทำได้แค่เพียงครั้งเดียวเราจะได้รับการชำระบาปโดยทันที เมื่อ เราตอบสนองเพื่อโลกของการยกความผิดบาปบาปของเราที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อเราและยอมรับสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อช่วยเราให้รอด “ขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า ฮาเลลูยา! อาเมน! ข้า พระองค์รอดแล้วเพราะพระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดข้าพระองค์จะไม่ได้รับการชำระบาปหากพระองค์ไม่ทรงนำบาปของข้าพระองค์ออกไป ขอขอบพระคุณ พระองค์เจ้าข้า! ฮาเลลูยา!” บาปของพวกเราได้ถูกล้างออกไปในวิธีนี้แล้ว
การชำระบาปไม่ต้องการทั้งเวลาและการกระทำของเราซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์ให้เล่นแม้แต่0.1% ในการชำระบาปของเราแคลวินกล่าวว่าใครต้องได้รับการพิพากษาตามขั้นตอนเพื่อการชำระบาปและเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ ก็เหมือนกับหนอนที่ไม่สามารถวิ่ง 100 เมตรในเวลาเพียงหนึ่ง วินาทีได้มันจะต้องพยายามอย่างหนักผู้ที่ไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ด้วยความพยายามของตัว
เองโดยไม่คำนึงถึงความสามารถของตัวเองในการรักษาธรรมบัญญัติ หนอนก็ยังคงเป็นหนอน แต่ อย่างไรก็ตามมันพยายามที่จะส่งตัวของมันเอง และแต่งตัวด้วยเครื่องสำอางราคาแพง อย่างเดียว กับผู้มีบาปที่มีบาปอยู่ในหัวใจตัวเองพวกเขาก็ยังคงเป็นผู้มีบาปอยู่แม้ดูเหมือนพวกเขาพยายามที่
จะทำความดี
ผู้มีบาปจะเป็นผู้ชอบธรรมอย่างสมบูรณ์โดยการทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ตามขั้นตอนได้อย่าง
ไร? เนื้อหนังทำได้ดีขึ้นได้หรือไม่? ไม่ เนื้อหนังไม่นับถือพระเจ้าและมีความชั่วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “และบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมานั้นพระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรมและผู้ที่พระองค์ทรงโปรด
ให้เป็นผู้ชอบธรรมพระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย”ข้อความได้จัดเตรียมไว้นี้ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวโดยความเมตตาของพระเจ้ามันไม่ได้กล่าวว่าการชำระบาปและการพิพากษาได้ถูกทำให้สมบูรณ์ในสมัยต่างๆคนหนึ่งจะสร้างความชอบธรรมได้ครั้งหนึ่งและเพื่อทั้งหมดโดยการมีความศรัทธาในพระเยซูที่ไม่เปลี่ยนแปลง
นักทฤษฎีหลายคนไม่ทราบว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ยืนยันอยู่บนทฤษฎีต่างๆที่ไม่มีเหตุผล
และส่งให้พวกตนตกนรก พระเจ้าทรงสัญญากับเราให้ชำระบาปและทรงเรียกเราผ่านพระเยซู
คริสต์โดยทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมและมีศักดิ์ศรีเมื่อพระองค์ทรงเรียก“แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น 1:12) พระเจ้าทรงสรรเสริญเราไหม? แน่นอน เราจะได้รับการสรรเสริญ โดยทำความดีและ โดยการพยายามหรือไม่? เราจะต้องพยายามอย่างหนักในการเป็นผู้ชอบธรรมไหม? ไม่อย่าง แน่นอน! เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว
 
 
ไม่มีใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้าได้
 
ใครจะขัดขวางเราได้หากพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา?ไม่มีเลย “ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้า พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครจะขัดขวางเราพระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรอวค์เดียวของพระองค์แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เราถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประ
ทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหล่ยด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ ใครจะฟ้องคนเล่านั้นที่ พระเจ้าได้ทรง เลือกไว้พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้วใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีกพระเยซูคริสต์นะหรือผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้วและยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบเลี้ยงให้เป็นขึ้นมาจากความตายทรงสถิตณ เบื้อง ขวาพระหัตถ์พระเจ้าและทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วยแล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจาก
ความรักของพระคริสต์ได้เล่าจะเป็นทุกข์หรือความยากลำบากหรือความเคี่ยวเข็ญหรือการกันดารอาหารหรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัยหรือการถูกคมดาบ หรือตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า ‘เพราะเห็นแก่พระองค์ข้าพเจ้าจึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า’ แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลายเพราะข้าพเจ้า
เชื่อมั่นว่าแม้ความตายหรือชีวิตหรือบรรดาทูตสวรรค์หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งเล็ก หรือซึ่งใดๆอื่น ที่ได้ทรง สร้างแล้วนั้นจะไม่ทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (โรม 8:31–39)
ไม่มีใครจะให้เราขาดจากความรักของพระเจ้าได้ไม่มีใครทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมและ
เป็นผู้มีบาปได้ไม่มีใครจะเป็นอุปสรรคแก่ผู้ที่เป็นบุตรของพระเจ้าและผู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในอาณา
จักรพันปีและอาณาจักรสวรรค์ได้ ความทุกข์ยากทำให้เราเป็นผู้มีบาปได้ไหม? ความยากลำบาก ทำให้เราเป็นผู้มีบาปได้ไหม? ความเคี่ยวเข็ญทำให้เราเป็นผู้มีบาปได้ไหม? การกักตุนอาหาร การ เปลือยกาย การถูกโพยภัยหรือการถูกคมดาบ ทำให้เราเป็นผู้มีบาปได้ไหม? พระเจ้าประทาน อาณาจักรสวรรค์ให้แก่เราพระองค์ประทานทุกอย่างให้แก่เราเพราะพระองค์ไม่หวงพระบุตรพระองค์เดียวของพระองค์มาเพื่อช่วยเราให้รอดพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะทำให้เราบริสุทธิ์เมื่อใดและเหตุใดที่พระองค์จะไม่ทรงทำให้เราเป็นบุตรของพระองค์ล่ะ?
 
 
การชำระบาปที่พระเจ้าทรงประทานให้เราคือ…
 
พระเจ้าทรงตรัสว่า การชำระความผิดบาปของเราอันดับแรกเราจะต้องยอมรับพระเยซู
คริสต์ที่ทรงเสด็จมาในกายเนื้อตามพระประสงค์ของพระบิดา อันดับสองเราจะต้องยอมรับว่า พระเยซูทรงแบกรับบาปทั้งหมดของพวกเรา ผ่านบัพติสมาของพระองค์ ณ แม่น้ำจอร์แดน อันดับสามเราจะต้องสารภาพว่าพระเยซูทรงทรมานพระวรกายเพื่อพวกเราและท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงถูกตรึงพระองค์บนไม้กางเขนเราไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ถ้าเราไม่เชื่อในความต้องการข้างต้นแต่ละอย่าง
ผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้าและไม่เชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าและผู้ทรง
สร้างสรรพสิ่งและถูกแยกออกไปจากการไถ่บาปของพระเจ้าถ้าหากคนนั้นปฏิเสธความศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์เขาหรือเธอจะเป็นบุตรของซาตานผู้ที่ปฏิเสธความจริงที่พระเยซูทรงรับบาปทั้งหมดของเราไปตอนที่พระองค์ทรงรับบัพติสมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติสมาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดจากบาปด้วยพระเยซูจะไม่ทรงเป็นผู้ไถ่บาปให้กับพวกเขาพวกเขาต้องตกนรกแม้ว่าพวกเขารู้จักพระเยซู พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพราะพระองค์ทรงแบกรับบาปทั้งหมดของเราไว้ พร้อมบัพติสมาของพระองค์พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเราไม่ใช่เพราะบาปของพระองค์ พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายเพื่อการพิพากษาผู้ที่เชื่อและให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาอีก
 
 
พวกเราถูกช่วยให้รอดจากบาปโดยความศรัทธาของพระเยซู
 
เราอยู่ไกลจากคำสอนของบทที่ 7 ในการเชื่อมโยงกับบทที่ 8 บทที่ 7กล่าวว่าใครที่มีบาป ไม่สามารถทำดีได้แต่บทที่8กล่าวว่าตอนนี้ไม่มีการปรับโทษผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์และความ
ศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์ทำให้เราไม่มีบาปพวกเราอ่อนแอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าดังนั้นพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาทรงประทานพระเยซูคริสต์มาให้เป็นผู้ช่วยไถ่
บาปของเราและพระองค์ทรงเป็นผู้แบกรับบาปทั้งหมดของเราและสร้างความชอบธรรมโดยพระ
เยซูคริสต์นี่คือความจริงที่เปาโลสอนไว้บทที่ 7 และ 8
“เพราะฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎของบาปและความตาย”ตอนนี้พวกเราไม่มีบาป ท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์ไหม ท่านยอมรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงทำเพื่อท่านไหม? เหมือนกับที่เปาโลได้รับการชำระบาปบาปทั้งหมดได้ถูกนำออกไปให้พ้นโดยความศรัทธาในบัพติสมาและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนเราได้รับการชำระบาปโดยการเชื่อในบัพติสมาพระโลหิตและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูถ้าหากคนคนนั้นหยิ่งและปฏิเสธที่จะเชื่อในบัพติสมาของพระเยซูคริสต์และยืนยันว่าพระองค์ทรงรับบัพติสมาเพียงเพื่อแสดงความนอบน้อมแก่
เราเท่านั้นพระเจ้าจะส่งคนคนนั้นไปลงนรกบาทหลวงเพิกเฉยบัพติสมาของพระเยซูเมื่อเปาโลพูด
เกี่ยวกับสิ่งๆนี้มากอย่างไร?พวกเขาเพิกเฉยต่อความศรัทธาของสิ่งอื่นมากกว่าผู้เป็นพระบิดาของ
ความศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้อย่างไร? พวกเขาเพิกเฉยคำสอนของการเชื่อฟังพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้า ทรงสร้างให้ปุโรหิตได้อย่างไร?
หากเราต้องการสอนเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์เราจะต้องสอนตามที่ได้เขียนไว้ในพระคัมภีร์
ไบเบิล และเราจะต้องเชื่อตามพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงบอกเราว่า “ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำ สอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไทย” (ยอห์น 8:31-32) ท่านและผมก็มาเชื่อในบัพติสมาของพระเยซูเหมือนกับเปาโล
บาปของท่านได้ผ่านไปสู่ร่างกายของพระเยซู คริสต์เมื่อใด? บาปทั้งหมดของเราได้ผ่าน ไปสู่พระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาพระเยซูทรงกล่าวกับ
ยอห์น
“บัดนี้จงยอมเถิดเพื่อให้ความชอบธรรมของพระเจ้าสมบูรณ์” คำว่า “for thus” คือ “hutos” ในภาษากรีก หมายถึง “ในทางนั้น” คำนี้แสดงถึงว่า พระเยซูทรงแบกรับบาปของ มนุษยชาติไปบนพระองค์ผ่านบัพติสมาที่พระองค์ทรงได้รับจากยอห์น บัพติสมาหมายถึง “การล้าง” เพื่อให้บาปทั้งหมดในหัวใจของเราถูกล้างออกไป บาปของเราควรจะถูกผ่านไปยัง พระเยซูคริสต์
พระเยซูคริสต์ทรงแบกรับบาปของเราแล้วทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนแทนเราและทรงถูกฝังไปพร้อมกับเรา เปาโลจึงประกาศว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว” (กาลาเทีย 2:20) เรา ถูกตรึงไม้กางเขนได้อย่างไรเมื่อความจริงนั้นพระเยซูทรงถูกตรึงให้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน?
เราถูกตรึงไปพร้อมกับพระคริสต์เพราะเราเชื่อว่าพระเยซูทรงนำบาปทั้งหมดของเราไปพร้อมกับพระองค์และถูกตรึงเพื่อบาปนั้น
ผมสรรเสริญพระเยซูผู้ทรงช่วยผมให้รอดจากบาปทั้งหมดของผมสามารถสอนคำสอน
ตามพระคัมภีร์ได้อย่างกล้าหาญเพราะพระเยซูทรงทำให้เราเป็นคนชอบธรรมผมขอขอบคุณพระ
เยซูที่ทรงช่วยพวกเราผู้ที่มีความอ่อนแอในเนื้อหนังและทรงเสด็จมาในช่วงสั้นๆของพระเกียรติ
คุณของพระองค์จากบาปทั้งหมดของเรา