Search

คำสอน

เรื่องที่ 11: พลับพลา

[11-18] โต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์ (อพยพ 37:10-16)

โต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์
(อพยพ 37:10-16)
“เขาเอาไม้กระถินเทศทำโต๊ะตัวหนึ่ง ยาวสองศอก กว้างหนึ่งศอก และสูงศอกคืบ เขาหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำกระจังทองคำรอบโต๊ะนั้นด้วย เขาทำประกับขอบโต๊ะนั้นกว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ แล้วทำกระจังทองคำประกอบรอบประกับนั้น เขาหล่อห่วงทองคำสี่อันติดไว้ที่มุมโต๊ะทั้งสี่ตรงขาโต๊ะ ห่วงนั้นติดชิดกับกระจัง สำหรับสอดคานหามโต๊ะนั้น เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำสำหรับหามโต๊ะนั้น และเขาทำเครื่องใช้สำหรับโต๊ะนั้นมี จาน ช้อน กับอ่างน้ำและคนโทที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา ซึ่งทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งสิ้น” 
 


เราจะต้องเป็นผู้ที่ได้กินอาหารแห่งชีวิตด้วยการวางประกับในหัวใจของเรา

โต๊ะสำหรับขนมปังหน้าพระพักตร์
โต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่พบภายในพลับพลา ที่ทำจากไม้กระ ถินเทศและหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์วัดความยาวได้ 2 ศอก ( 90ซ.ม.:3 ฟุต ) ความสูง ศอกครึ่ง ( 67.5 ซ.ม.:2.2 ฟุต ) และกว้างหนึ่งศอก 45:ซ.ม.:1.5 ฟุต ) บนโต๊ะวางขนมปังได้วางขนมปังไว้ 12 แถวเสมอและขนมปังนี้จะมีเพียงมหาปุโรหิตเท่านั้นที่จะทานได้ ( เลวีนิติ 24:5-9 ) 
ในบรรดาลักษณะพิเศษต่างๆของโต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์นั้นมีดังนี้:มีประกับขอบโต๊ะที่กว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ, มีประจังทองคำรอบโต๊ะนี้ด้วย, มีห่วงทองคำสี่อันติดที่มุมโต๊ะทั้งสี่ และห่วงนั้นยึดติดกับประจังสำหรับสอดคานหามไม้กระถินเทศหุ้มทองที่ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายโต๊ะ เครื่องใช้บนโต๊ะคือจาน, ช้อน,อ่างน้ำและคนโทที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชาที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
อพยพ 37:11-12 บันทึกไว้ว่า “ เขาหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำกระจังทองคำรอบโต๊ะนั้นด้วย เขาทำประกับขอบโต๊ะนั้นกว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ แล้วทำประจังทองคำประกอบรอบประกับนั้น “ โต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์ในที่บริสุทธิ์ของครอบครัวของพระเจ้ามีประกับที่สูงหนึ่งฝ่ามือแล้วทำประจังทองคำรอบประกับ ทำไมพระเจ้าทรงสั่งให้โมเสสวางประกับนั้นไว้? ประกับกว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบที่ยื่นออกมาประมาณ 10 ซ.ม.เพื่อป้องกันไม่ให้ขนมปังหล่น 
มีเพียงปุโรหิตเท่านั้นที่ที่สามารถกินขนมปังที่วางอยู่ที่โต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์ได้ ดังนั้นเราต้องเป็นผู้ที่ได้กินขนมปังนี้ทางจิตวิญญาณ มีเพียงผู้ที่รอดจากบาปและได้รับชีวิตนิรันดร์ด้วยการเชื่อในบัพติศมาของพระเยซู คริสต์และพระโลหิตของไม้กางเขนหรืออีกนัยหนึ่งมีเพียงผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณว่าเป็นความรอดของพวกเขาเท่านั้น ที่จะสามารถได้กินขนมปังนี้ 
เนื่องจากประกับนั้นมีความสูงเท่าฝ่ามือซึ่งติดไว้รอบๆโต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์ของพลับพลา มันจึงต้องให้ความมั่นใจว่าขนมปังจะไม่ตกหรือหล่นลงมา และในวันสะบาโตทุกครั้งก็จะวางขนมปังที่ทำขึ้นร้อนๆตรงโต๊ะ เราต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับความจริงที่ว่าประกับที่มีความสูงเท่าหนึ่งฝ่ามือได้วางเอาไว้รอบๆขอบโต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์ และที่ว่าประกับนั้นได้มีประจังทองคำรอบๆด้วย
ประกับของโต๊ะวางขนมปังหน้าพระพักตร์นั้นสอนเราว่าเราต้องยึดเอาพระวจนะของความจริงที่นำความรอดให้เราและจึงทำให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์ สิ่งนี้บอกเราว่าเราสามารถมีความเชื่อทางจิตวิญญาณของด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดีที่ใช้สำหรับประตูพลับพลาได้เพียงเมื่อเราเชื่อในบัพติศมาของพระเยซู คริสต์และพระโลหิตบนไม้กางเขน และเรามาตระหนักด้วยการเปิดเผยนี้ที่ว่ามีเพียงผู้ที่เชื่อในความจริงที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดีเท่านั้นที่ได้มาเป็นบุตรของพระเจ้า 
เพราะว่าเราไม่ต้องทำอะไรกับพระผู้เป็นเจ้าอีกหากเราไม่เชื่อในสิ่งนี้ เราผู้ที่ได้รับอาหารแห่งชีวิตจะต้องมีความเชื่อที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี เราต้องเชื่อว่ามีเพียงข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้นที่เป็นความจริงของความรอดที่แท้จริง พระเจ้ากำลังบอกเราว่าในการยกประกับของความเชื่อในหัว ใจของเราขึ้นก็เพื่อให้ความรอดไม่เลื่อนตกลงไปจากเรานั่นเอง 
ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณได้ส่งลงมาถึงเราจากยุคของคริสตจักรในยุคแรกๆ จากยุคนี้เองมาจนถึงปัจจุบันนี้พระเจ้าทรงชำระบาปทั้งหมดของผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ออกไป เราเห็นได้ว่าตอนนี้พระเจ้าทรงช่วยจิตวิญญาณทั้งหลายของผู้ที่เชื่อในความจริงนี้ของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณให้รอดเหมือนก่อนหน้านี้ เรารอดด้วยการเชื่อในความจริงที่แสดงในประตูพลับพลา และทรงยอมให้เราได้มีชีวิตทางจิตวิญญาณด้วยการยกประกับในหัวใจของเราให้สูงขึ้น 
เราได้รับชีวิตนิรันดร์จากความเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ และด้วยข่าวประเสริฐของความจริงนี้เราจึงสามารถแบ่งปันอาหารแห่งชีวิตให้กับผู้อื่นได้ และเราจึงได้มารับใช้ภารกิจอันชอบธรรมของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เมื่อเราเชื่อในข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณแล้ว หากเราไม่สามารถยึดความจริงของข่าวประเสริฐนี้เอาไว้ให้มั่นด้วยเวลาที่ผ่านไปและสูญเสียมันแล้ว สิ่งนี้ก็จะไม่มีความหมายอะไรเลยนอกจากการสูญเสียชีวิตของเราไปดังนั้นเราต้องยกประกับของความเชื่อในหัวใจเราขึ้นด้วยการครุ่นคิดถึงข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณด้วยความเชื่อเสมอ
 


เราต้องมีความเชื่อในหัวใจเราที่เชื่อในข่าวประเสริฐที่มีด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มอยู่

 
หากผู้คนไม่มีความเชื่อในความจริงนี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถรอดจากบาปของพวกเขาได้ พวกเขาอาจจะยืนกรานกับตัวเองว่าพวกเขารอดอย่างแน่นอนแล้ว แต่ตอนนี้ เพราะว่าหัวใจของพวกเขาไม่ได้ยึดและไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้ม ความรอดที่พวกเขามีนี้จึงเป็นความรอดที่ไม่สมบูรณ์ 
การไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณว่าเป็นความจริงนั้นก็เป็นเหมือนการทำบาปที่ละทิ้งพระผู้เป็นเจ้าด้วยตัวเองอาหารแห่งจิตวิญญาณไม่ได้เป็นสิ่งที่เราจะต้องการครอบครอง แต่เป็นสิ่งที่เราต้องเอาเข้าปากของเรา เคี้ยวและกินมัน และด้วยเหตุนี้มันจึงได้ทำให้ความจริงของมันเป็นของเรา เมื่อเราไปโดยไม่มีการเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าและยึดมันไว้ในหัวใจของเราแล้ว ความจริงของความรอดจะหายไปจากหัวใจของเราโดยไม่เสียเวลาเลย 
ท่านอาจจะสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ท่านจะสูญเสียความรอดอันล้ำค่าเช่นนั้นเมื่อท่านรอดจากบาปของท่านแล้ว แต่น่าเสียดายที่หลายคนที่ไม่ได้ยึดพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้จะจบลงด้วยความตาย แม้ว่าพวกเขาได้รับความจริงในความยินดีในตอนแรก แต่เพราะพวกเขาไม่มีรากของความเชื่อที่เป็นพื้นฐานในข่าวประเสริฐที่แท้จริง 
พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพื้นของหัวใจที่แตกต่างกันสี่แบบใน ‘ อุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืช ‘ ( มัท ธิว 13:3-9, 18-23 ) ในอุปมานี้เมล็ดของความจริงของพระเจ้าได้หว่านลงไปบนพื้นของหัวใจของมนุษยชาติที่แตกต่างกัน พื้นแรก พื้นแรกนั้นเป็นตามหนทาง, พื้นที่สองเป็นพื้นหิน, พื้นที่สามเป็นกลางต้นหนาม และพื้นที่สี่เป็นพื้นที่ดินดี เมล็ดที่หว่านลงบนสามพื้นแรกนั้นไม่สามารถออกผลได้ มีเพียงพื้นที่สี่เท่านั้นที่เป็นพื้นดีที่ให้ผลออกมาดี สิ่งนี้หมายความว่าหลายคนสามารถสูญเสียความรอดของตนในกลางทางได้แม้ว่าพวกเขาเคยได้ฟังและได้รับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่เป็นข่าวประเสริฐของความรอดที่แท้จริงมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม ดังนั้น เราต้องจดจำว่าหากดินของหัวใจของเรานั้นไม่ดี มันก็จะเป็นไม่ได้สำหรับเราที่จะสูญเสียความรอดที่พระผู้เป็นประทานให้เรา
หากในหัวใจของเราเชื่อในความรอดที่ได้มาโดยด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มแล้วดินของหัวใจของเราก็จะดีได้ แต่เวลานี้เราเห็นว่าผู้คนสูญเสียความรอดของตนจากการไม่มีความสามารถในการปกป้องความเชื่อของพวกเขาได้จากเหตุที่ว่าไม่มีความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าโดยหยั่งรากลึก นี่คือเหตุผลที่เราต้องอยู่ในคริสตจักรของพระเจ้า ได้ทานอาหารแห่งชีวิตทุกวัน และเติบโตในความเชื่อ พระเจ้าทรงทำนุบำรุงเราทุกวันเพื่อให้ความเชื่อของเราเติบโต ด้วยความจริงที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้ม 
เราต้องยืนยันว่าเราได้การยกความผิดบาปในหัวใจของเราทุกวัน ความจริงที่จะต้องพบในหัวใจของเราคือความรอดของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี ความจริงของความรอดนี้คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของผู้ที่ได้รับการยกความ ผิดบาปแล้ว เราสามารถมีชีวิตในการเป็นบุตรของพระเจ้าได้วันต่อวันด้วยการปรับความเชื่อของเราเสียใหม่ในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่แท้จริง
ดังนั้น แม้ว่าผู้คนที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณก็ยังต้องใตร่ตรองในข่าวประเสริฐของความชอบธรรมของพระเจ้าที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วงและสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดีและยืนยันความเชื่อของตนทุกวัน ทำไม? ก็เพราะว่าหากเราไม่ยึดข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณไว้อย่างมั่นคงและยืนยันมัน แล้วเราก็อาจจะสูญเสียมันได้ทุกเวลา เราต้องจดจำเสมอว่าผู้ที่เขียนฮีบรูได้กล่าวแก่ชาวยิวผู้กระจายออกไปทั่วว่า “ เหตุฉะนั้นเราควรจะสนใจในข้อความเหล่า นั้น ที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้นอีก เพราะมิฉะนั้นในเวลาหนึ่งเวลาใดเราจะห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น “ ( ฮีบรู 2: 1 ) 
ทุกวันนี้ในหมู่ผู้ที่รู้จักข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ เราเห็นได้ว่ามีคนมากมายที่เชื่อในข่าวประเสริฐได้ห่างหายไปเมื่อเวลาผ่านไป นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถได้กินอาหารแห่งชีวิตอย่างต่อเนื่องในสถานบริสุทธิ์ แม้ว่าพวกเขาเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณแล้วก็ตาม ด้วยเหตุนี้ หัวใจของพวกเขาจึงไม่ได้รับการกล่อมเกลาด้วยความเชื่อที่แท้จริง
มีคนรับใช้ของซาตานมากมายในโลกนี้ผู้ที่พยายามที่จะฆ่าคนชอบธรรมด้วยการให้พวกเขาได้กินขนมปังที่ใส่เชื้อนั่นคือการสอนของเนื้อหนังของพวกเขาเอง หากข่าวประเสริฐผิดๆคือการแนะนำไปสู่คริสตจักรของพระเจ้า แล้วความจริงที่ผสมกับการโกหกก็จะเปลี่ยนผู้ที่เชื่อไปสู่ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับได้ คนเช่นนั้นรู้จักความจริงแต่ไม่เชื่อเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถยกประ กับของความเชื่อขึ้นได้ และดังนั้นพวกเขาจึงต้องจบลงเหมือนกับเป็นผู้ที่ไม่รอดจากบาปทั้งหมดอีกต่อไป สุภาษิต 22:28 กล่าวว่า “ อย่าย้ายหลักเขตเก่าแก่ซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้ปักไว้ “ 
ดังนั้นมันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเราที่จะไม่ย้ายหลักเขตของความเชื่อของเรา เราต้องยึดความเชื่อที่แท้จริงของเราอย่างชัดเจนและปกป้องมันจนถึงวันที่พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมา แค่เพียงให้เราสามารถกินอาหารแห่งชีวิตอย่างสม่ำเสมอ แค่เพียงให้พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถสถิตในหัวใจเราได้และแค่เพียงให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์หากเราไม่ชื่นชมในความล้ำค่านี้และไม่สามารถยึดมันไว้ในหัวใจของเราได้ หรือหากเราไม่ย้ายประกับของหัวใจของเราและปล่อยให้อาหารแห่งชีวิตตกลงมาจากโต๊ะ โดยไม่ต้องดูว่าพระเจ้าประทานขนมปังให้เรามามากน้อยเท่าใดแล้ว เราก็จะจบลงด้วยการเป็นบุตรของความพินาศ
พวกเราบางคนพึ่งจะได้รับการยกความผิดบาป ในขณะที่คนอื่นๆก็ค่อยๆเสื่อมลงตั้งแต่ที่พวกเขาได้ฟังข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเป็นครั้งแรกและได้ย้ายบาปของพวกเขาออกไป ตั้งแต่ที่ทุกวันเราได้ฟังข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ มันก็อาจจะเป็นไปได้อย่างดีที่เราบางคนอาจจะเหน็ดเหนื่อยกับคำว่า “ น้ำ “ ของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่ไกด้ถูกกล่าวถึง แต่เรายังคงต้องกินอาหารแห่งชีวิตของข่าวประเสริฐที่แท้จริงต่อไป เราต้องทำเช่นนี้นานเท่าใด? จนถึงวันที่พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา? 
บางท่านอาจจะบ่นว่าผู้เขียนมักจะประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณอย่างซ้ำไปซ้ำมาแต่ท่านจะต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้นด้วยการไตร่ตรองในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณเพื่อให้เราได้เป็นคนทำงานของพระเจ้า เราต้องทำบทบาทของความเชื่อให้สมบูรณ์และเป็นผู้เฝ้าดูจิตวิญญาณของยุคนี้อย่างน่าไว้ใจ ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้คืออาหารแห่งชีวิตและเป็นอาหารของความเชื่อที่แท้จริงสำหรับจิตวิญญาณที่ได้เกิดใหม่ดังนั้นเราต้องได้ทานอาหารแห่งชีวิตนี้ทุกวัน และไม่ใช่เพียงเท่านี้เราไม่ควรที่จะได้รับเพียงแค่ตัวเราเอง เราต้องแบ่งปันไปให้ผู้อื่นทุกวันด้วยเพื่อให้พวกเขาจะได้รับการยกความผิดบาปด้วยเช่นกัน 
อาหารแห่งความชอบธรรมคือการเผยแพร่พระวจนะของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณออกไปและจะได้ปลดปล่อยผู้คนออกจากพลังของความมืดและถ่ายพวกเขาไปสู่อาณาจักรของพระบุตรของความรักของพระองค์ ( ยอห์น 4:34, โคโลสี 1:13 ) หากเราไม่สนใจที่จะรับขนมปังของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณแล้วเราจะต้องเจ็บป่วยหรือตายอย่างไม่มีทางเลือก เพราะความอ่อนแอของเนื้อหนังของเราที่จะทำให้ความเชื่อของเราในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณจะอ่อนแอไปด้วย แต่หากเรายึดข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณไว้ทันเวลาปัญหาแล้ว มันก็จะสามารถเปลี่ยนไปสู่หน้าต่างของโอกาสสำหรับจิตวิญญาณของเราได้เข้มแข็งขึ้น 
เมื่อเราได้ฟังและไตร่ตรองในข่าวประเสริฐของความจริงนี้แล้ว ยิ่งเราได้ฟังบ่อยเท่าใด จิตวิญญาณของเราก็ยิ่งเข้มแข็งมากขึ้น ก็จะทำให้ความเชื่อของเราแข็งแรงขึ้น และเราก็จะสร้างพลังใหม่ในหัวใจของเรามมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องได้ฟังข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณทุกวัน และยืนยันความเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ของเรา ตามที่พระเจ้าตรัสว่า “ จงไล่ขี้ออกจากเงินเสีย แล้วจะมีวัสดุสำหรับช่างทำขัน “ ( สุภาษิต 25:4 ) เราต้องปรับความเชื่อของเราใหม่ นั่นคือเราต้องได้ฟังข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณต่อไปต้องยอมรับมันเข้าสู่หัวใจเรา และใตร่ตรองถึงมันอยู่ตลอดเวลา เพราะข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณคืออาหารแห่งชีวิตที่ทำให้เราดำรงอยู่ได้! ตามที่พระเยซูตรัสในการอธิษฐานของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ ได้โปรดประทานขนมปังให้ข้าพระองค์ทุกวันด้วย “ แล้วพระผู้เป็นเจ้าของเราก็ประทานพระวจนะของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณให้ นี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงบอกให้เราอธิษฐานเช่นนี้ 
เมื่อมันมาเป็นความรอดของการยกความผิดบาปที่พระเจ้าประทานให้เรามา เราต้องทำให้มันชัดเจนว่าความเชื่อของเราก่อนหน้านี้เป็นเช่นใดก่อนที่เราจะรอดจากบาป “ ก่อนที่ฉันจะรู้จักความจริงนี้ ฉันยังไม่รอดจากบาป “ เราต้องยอมรับอย่างชัดเจนว่าในเวลานั้น แม้เราเชื่อในพระเยซู เราก็ยังไม่รอดจากบาป “ ฉันยังไม่รอดจากบาปทั้งหมดในตอนนั้น แต่เมื่อฉันได้ฟังข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณอยู่เรื่อยๆ ฉันก็มาเชื่อมันในหัวใจของฉัน 
บาปของฉันยังไม่สมบูรณ์เลยในตอนนั้น แม้ว่าฉันเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของตนมาก่อน แต่ตอนนี้ฉันรอดอย่างแท้จริงแล้วด้วยการได้ฟังข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่แท้จริง ตอนนี้ฉันเชื่ออย่างแท้จริงในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ และฉันเชื่อมันอย่างแท้ จริง “ เพียงเมื่อท่านตระหนักและเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยท่านให้รอดจากบาปทั้งหมดโดยบัพติศมาของพระองค์และพระโลหิตของไม้กางเขนที่ประทานความรอดที่แท้จริงจากสวรรค์มาให้หัวใจของท่าน ความเชื่อที่เชื่อในความจริงนี้คือความเชื่อที่แท้จริงที่ช่วยท่านให้รอด 
ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่ได้เปิดเผยในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นแตกต่างจากความเชื่อที่เรามีมาก่อน ในเวลานั้นเราเชื่อในข่าวประเสริฐของไม้กางเขนเพียงอย่างเดียว แทนการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่สมบูรณ์ การเชื่อเพียงไว้กางเขนอย่างเดียวและเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณอาจจะดูคล้ายกันในตอนแรก แต่ทั้งสองนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะรู้จักข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้ ท่านไม่ได้เชื่อเพียงพระโลหิตของไม้กางเขนเท่านั้นหรือ? แล้วตอนนั้นบาปของท่านได้พ้นออกไปหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน! เมื่อท่านเชื่อเพียงพระโลหิตของพระเยซูบนไม้กางเขนแล้ว ท่านก็ยังคงมีบาปแท้จริงในหัวใจของท่านอยู่นี่คือความแตกต่างระหว่างความเชื่อที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณและความเชื่อที่เชื่อในไม้กางเขนเพียงอย่างเดียว 
ความแตกต่างที่ชัดเจนก็คือว่าผู้ที่เชื่อเพียงพระโลหิตของไม้กางเขนเพียงอย่างเดียวนั้นไม่รอดในขณะที่ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั้นรอดจากบาปทั้งหมดของพวกเขา ดังนั้นจิตวิญญาณของพวกเขาจึงแตกต่างกันอย่างไม่ผิดพลาด แต่ผู้คนโดยทั่วๆไปไม่ได้ตระหนักในสิ่งนี้ ยังมีช่องว่างของความเชื่ออย่างใหญ่หลวงระหว่างสองสิ่งที่ไม่สามารถย่อลงได้เลยแม้ว่าทั้งสองข่าวประเสริฐนั้นอาจจะดูคล้ายกันก็ตาม เมื่อความแตกต่างเล็กน้อยนั้นคือสิ่งที่ทำให้เราได้รับหรือสูญเสียชีวิตนิรันดร์โดยไม่ต้องสงสัยว่าเราเชื่อในบัพติศมาของพระเยซูหรือไม่แล้ว เราก็จะได้แต่เพียงยอมรับว่ามีข้อแตกต่างระหว่างความเชื่อทั้งสองสิ่งนี้ที่ไม่มีทางแยกจากหันได้
เราต้องทราบอย่างแท้จริงว่าความเชื่อใดที่ประกอบเป็นขอบเขตของความรอดจากบาปของเรา เราต้องเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเพื่อให้รอดจากบาปได้ ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้เป็นความจริงของการยกความผิดบาป สถานะของความรอดที่ชัดเจนจะเป็นของท่านเมื่อท่านยอมรับว่าท่านไม่รอดอย่างแน่นอนก่อนที่ท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณ และว่าตอนนี้ท่านเชื่ออย่างแท้จริงในข่าวประเสริฐที่แท้จริงด้วยหัวใจของท่านทั้งหมด 
หากท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในกลางใจท่านแล้ว ท่านจะต้องยอม รับในสิ่งนี้อย่างชัดเจนต่อพระพักตร์พระเจ้า ว่าท่านได้รับการยกความผิดบาปด้วยการฟังและเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ หากตอนนี้ท่านเชื่อในความจริงของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณแล้ว ท่านจะสามารถพบหลักฐานในหัวใจของท่านได้อย่างไม่มีข้อผิดพลาดใดๆเลย 
เราต้องตรวจสอบความเชื่อของเราอย่างระมัดระวังต่อพระพักตร์พระเจ้า มันไม่มีความละ อายอย่างแน่นอนในการตรวจสอบความเชื่อของเรา หากหลังจากที่ท่านเชื่อในพระเยซูเป็นครั้งแรกใช้เวลาถึงห้าปีให้มาเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในกลางใจท่านแล้ว ก็จะไม่มีความละอายใดๆเลย หากมันใช้เวลา 10 ปีที่ท่านจะรอด มันก็จะไม่มีความละอายในสิ่งนี้เลย และแม้ แต่ท่านใช้เวลาภึง 20 ปีในการรอด มันก็จะไม่มีความละอายในสิ่งนี้อย่างแน่นอน มันเป็นพระพร 
อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือว่ามีคนมากมายที่แสร้งทำเป็นรอดจากบาป แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงยืนยันความเชื่อของผู้ที่ค้นหาทุกๆสิ่งเพราะพวกเขาไม่ได้วาดเส้นของความรอดที่ชัดเจนอย่างซื่อสัตย์ มันจะฉลาดกว่านี้หากกำหนดเส้นขอบเขตของความรอดของเราให้ชัดเจน มัน ไม่ใช่การทราบว่าวันที่เรารอดอย่างแท้จริง แต่มันจำเป็นที่จะระบุความชัดเจนระหว่างก่อนและหลังที่เรารอดจากบาปและในการสารภาพความเชื่อที่สมบูรณ์ของท่านอย่างชัดเจน 
 


พระบิดาของความเชื่อของเราก็เชื่อในข่าวประเสริฐที่เราเชื่ออยู่ในตอนนี้เ ช่นกัน

 
เมื่อผู้คนชาวอิสราเอลค้นหาทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนคานาอัน พวกเขาสามารถข้ามทะเลแดงไปได้อย่างปลอดภัยเมื่อพวกเขาติดตามปุโรหิตที่ถือหีบพระโอวาทของพระเจ้า หากเราคิดกับตัวเองเพียงว่า “ โอ นั่นคือวิธีที่ฉันสามารถข้ามแม่น้ำจอร์แดนได้ “ และไม่ได้ข้ามไปจริงๆแล้ว เราก็ไม่สามารถเข้าไปสู่ดินแดนคานาอันได้เพราะเรายังคงอยู่ในอีกฟากของแม่น้ำอยู่ ในการเข้าไปสู่ดินแดนคานาอัน เราจะต้องข้ามทะเลแดงและแม่น้ำจอร์แดนอย่างแน่นอนก่อนด้วยความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าของเรา 
พูดตามทางจิตวิญญาณแล้วแม่น้ำจอร์แดนเป็นแม่น้ำของความตายและการฟื้นคืนชีพ ความเชื่อที่ช่วยเราให้รอดจากบาปคือความเชื่อที่เชื่อว่า “ ฉันต้องตกนรก แต่พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาโลกนี้และทรงช่วยฉันโดยบัพติศมาของพระองค์และพระโลหิตบนไม้กางเขน “ พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงรับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดนและหลั่งพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยเราให้รอดอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงรับเอาบาปของเราไปและจ่ายค่าจ้างของบาปด้วยการประทานชีวิตของพระองค์เองแทนเรา ตอนนี้เราต้องเชื่อในความจริงนี้และวาดเส้นของความเชื่อและเส้นของความรอดอย่างชัดเจนในหัวใจของเรา 
ตามที่ผู้เขียนได้ประกาศพระวจนะของพระเจ้าออกไป ก็เห็นได้ว่ามีหลายคนในคริสตจักรของพระองค์ที่ไม่ได้วาดเส้นของความรอดที่ชัดเจนในกลางหัวใจของพวกเขาและจึงไม่สามารถเชื่อตามพระผู้เป็นเจ้าได้ พวกเขาสงสัยว่าตนวาดเส้นนี้ระหว่างก่อนและหลังความรอดของตนได้อย่าง ไร พวกเขาหาข้อแก้ตัวให้ตัวเองว่า “ มีใครในโลกนี้ที่ได้วาดเส้นนี้หรือ? อัครสาวกเปาโลได้วาดเส้นนี้หรือไม่? ไม่มีใครเคยทำอย่างนี้หรอก “ แต่อัครสาวกของความเชื่อเช่นเปโตรหรือเปาโลได้วาดเส้นของความรอดทั้งหมด 
ในกรณีของเปาโล เขาได้วาดเส้นตอนที่เขาเดินทางไปดามัสกัส ดังนั้นเขาจึงกล่าวอยู่บ่อยๆว่า “ ครั้งหนึ่ง, ในอดีต หรือเมื่อก่อน “ ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับคำว่า “ บัดนี้ “ เหมือนกับที่เปโตรก็ได้กล่าวคำเหมือนกันนี้ ( 1เปโตร 2:10, 14, 25 ) เราเห็นได้ว่าเขาก็วาดเส้นนี้เช่นกันเมื่อดูที่คำสารภาพของเขา “ พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ “ ( มัทธิว 16:16 ) และ “ เช่นเดียวกันบัดนี้ พิธีบัพติศมาก็เป็นภาพที่รอดแก่คนทั้งหลาย ( ไม่ใช่ด้วยชำระราคีแห่งเนื้อหนัง แต่โดยให้มีใจวินิจฉัยผิดและชอบอันดีจำเพาะพระเจ้า ) โดยซึ่งพระเยซู คริสต์ได้ทรงเป็นขึ้น มาจากความตาย “ ( 1 เปโตร 3:21 ) ทั้งเปาโลและเปโตรวาดเส้นของความเชื่อระหว่างก่อนและหลังความรอดนี้อย่างชัดเจน 
ดังนั้น คำถามนี้ไม่ใช่ปัญหาของคนอื่น แต่มันเป็นปัญหาของจิตวิญญาของท่านเองไม่ว่าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณหรือไม่ คนรับใช้ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้แก้ปัญหาด้วยปัญหาของบาป เพราะนี่คือปัญหาสำคัญสำหรับเราอย่างแท้จริง ตัวเราเองจะต้องแก้ ปัญหาด้วยความเชื่อเมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณและแก้ปัญหาบาปจากกลาง หัวใจของเราได้ พระเจ้าจะทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง ท่านอยากทำให้พระเจ้าพอพระทัยไหม? แล้วทั้ง หมดที่ท่านจะต้องทำคือการตระหนักถึงบาปของท่านและแก้ปัญหานี้ด้วยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ หากเวลาทั้งหมดนี้ท่านยังไม่รอดแล้ว ท่านจะต้องสารภาพว่า “ พระเจ้า ข้าพระองค์ยังไม่รอดจากบาปเลย “ 
พระเยซู ตรัสว่า “ ท่านจะผูกมัดสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะผูกมัดในสวรรค์ และท่านจะปล่อยสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะถูกปล่อยในสวรรค์ “ ( มัทธิว 16:19 ) ในฝ่ายของเราสิ่งแรกเราต้องยอมรับว่า “ พระเจ้าทรงช่วยฉันโดยน้ำและพระวิญญาณ ตอนนี้ฉันเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณตรงกลางหัวใจ ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยฉันให้รอดโดยน้ำและพระวิญญาณ “ 
เราต้องยอมรับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณทั้งหมดเข้าสู่หัวใจเรา “ ฉันไว้ใจข่าวประเสริฐนี้ เพราะมันเป็นความจริง เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงลบบาปทั้งหมดของฉันออกไปมากพอ แล้ว ฉันจึงเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ ฉันไม่เคยรอดด้วยความเชื่อ “ เมื่อเราตระหนักและเชื่อในข่าวประ เสริฐที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เรามาแล้ว พระเจ้าจะตรัสกับเราว่า “ เรารับรองความเชื่อของเจ้า “ 
เมื่อพระเจ้าประทานความจริงของน้ำและพระวิญญาณมาให้เราที่เราจะรอดอย่างสมบูรณ์แล้ว ในส่วนของเรา หากเราไม่วาดเส้นของความรอดและยอมรับความรอดนี้ด้วยความเชื่อในความจริงนี้แล้วในส่วนของพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงตระหนักว่าเรารอดเช่นกัน เพราะทรงดูแลเราเป็นการส่วนตัวหากท่านไม่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในกลางใจท่านแล้ว พระองค์ก็ไม่สามารถประทานการยกความผิดบาปให้ท่านได้ หากท่านไม่ยอมรับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในหัวใจของท่านแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่สามารถสถิตในหัวใจของท่านได้ 
เราปฏิเสธข่าวประเสริฐอื่นทั้งหมดนอกจากข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณว่าผิดหรือ? หรือเราคิดว่าแม้ว่าข่าวประเสริฐผิดนั้นยังคงมีบาปอยู่ และคิดว่าไม่จำเป็นต้องขว้างมันทิ้งไป? เราต้องตรวจสอบตัวเราเองและเห็นว่าเราเชื่ออย่างแท้จริงเช่นใด เราลองมาสมมุติดูสักหน่อยว่าเรามาเป็นกองของเครื่องใช้และอุปกรณ์อิเล็กโทรนิค เราลองสมมุติว่าเราเอาบางส่วนกลับบ้าน โดยคิดว่าเรายังคงใช้งานมันได้แต่ก็พบหลังจากนั้นว่าไม่มีอะไรที่ใช้ได้เลย มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งหมด แล้วเราควรจะรักษามันไว้หรือทิ้งมันไป? เมื่อครั้งหนึ่งเราคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ แน่นอนเราควรจะทิ้งมันไป เมื่อท่านเข้าถึงบทสรุปที่ว่าบางสิ่งนั้นไม่เคยมีประโยชน์กับท่านเลย แล้วท่านจะต้องรู้จักวิธีกำจัดมันออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย 
หากนี่คือวิธีที่เราควรจะทำตามเหตุการณ์ตามทางโลก แล้วเราควรจะทำเมื่อมันมาเป็นเรื่องทางจิตวิญญาณของเราได้อย่างไร? เราจะต้องมีความเด็ดเดี่ยวมากขึ้นในการปฏิเสธความเท็จในเหตุการณ์ทางจิตวิญญาณของเรา เราต้องวาดเส้นให้ชัดเจนในการแยกว่าความเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณจากความเชื่อผิดๆที่เชื่อเพียงพระโลหิตบนไม้กางเขนซึ่งจะไม่มีทางนำความรอดมาสู่เราเลย และเราต้องทิ้งคำสอนผิดๆเหล่านั้นออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว ข่าวประเสริฐไหนที่เป็นไปตามพระคัมภีร์? มันมีเพียงข่าวประเสริฐของไม้กางเขนเท่านั้นหรือ? หรือมันเป็นข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณ? ความเชื่อของท่านที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณและที่ช่วยท่านให้รอดจากบาปของท่านนั้นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย 
มีคริสเตียนอยู่สองประเภท คือผู้ที่รู้จักและเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณและผู้ที่ไม่เชื่อ มันอาจจะดูเหมือนว่าทั้งสองได้นำชีวิตของความเชื่อที่คล้ายกัน แต่ความจริงก็คือว่าทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่ากรณีใดๆ ท่านคิดว่าข่าวประเสริฐที่ไม่สมบูรณ์ที่ท่านได้เชื่อก่อนยังคงมีประโยชน์ไหม? ท่านยังคงรักษามันอยู่ตลอดเวลาไหม โดยคิดว่ามันอาจจะยึดได้ในภายหลัง? 
ความเชื่อเช่นนั้นคือความเชื่อผิดๆ เป็นสิ่งที่ออกมาจากความคิดที่มนุษย์สร้างขึ้นดังนั้นท่านต้องทิ้งกระเป๋าเก่าของท่านในอดีตออกไป เพราะว่าท่านยังไม่ขว้างสิ่งที่ไม่จริงและโกหกที่มีปัญหาในกลางใจของท่านออกไป ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ท่านจำพระวจนะของพระองค์ว่า “ เจ้าจงรักษากฎเกณฑ์ของเรา และจงอย่าประสมสัตว์ของเจ้ากับสัตว์ประเภทอื่น เจ้าอย่าหว่านพืชปนกันสองชนิดในนาของเจ้า อย่าใช้เครื่องแต่งกายที่ทำด้วยขนสัตว์ปนด้วยป่าน “ ( เลวีนิติ 19:19 ) 
 

ในการเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ เราจะต้องผ่านประตูเข้าไปเพียงเท่านั้น
 
ประตูพลับพลาทำด้วยวัสดุอะไร? มันทอด้วยด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี ผู้ที่ได้เกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณจะต้องเปิดประตูพลับพลาและเข้าไปสู่ที่บริสุทธิ์ ภาย ใต้เสาประตูพลับพลามีฐานทองสัมฤทธิ์ตั้งอยู่ ฐานทองสัมฤทธิ์เหล่านี้ทำให้เราได้ยอมรับว่าข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั้นคือความรอดที่แท้จริง 
มันสอนเราว่าแม้เราต้องถูกปรับโทษจากพระเจ้าโดยไม่มีทางเลือกและจะต้องตายเพื่อบาปของเรา เราจะได้เป็นคนของพระเจ้าด้วยการได้รับพระพรของการเกิดใหม่ของน้ำผ่านข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ เราเข้าสู่พลับพลาได้เพียงเมื่อเราทิ้งความคิดผิดๆของด้ายทั้งสี่สีของประตูพลับพลาที่เราคิดว่าเรารอดด้วยการเชื่อเพียงพระราชกิจของพระเยซูที่แสดงในด้ายสีแดงเข้มเท่านั้น
ถ้าเราไม่ทิ้งความคิดและความเชื่อของตัวเราเองออกไป เราก็จะไม่มีทางได้เชื่อในความรอดที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มได้เลย เราต้องตระหนักว่าความจริงที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดีคือข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ และเราต้องยอมรับความผิดพลาดของความคิดของตัวเราเองเมื่อเราเชื่อเพียงพระโลหิตของพระเยซูก่อน 
หากพระเจ้าทรงเต็มพระทัยแล้วพระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่แท้จริง มีเพียงผู้ที่เชื่อในความจริงของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้เท่านั้นที่สามารถพ้นจากบาปทั้งหมดของพวกเขาได้และได้รับชีวิตนิรันดร์ สามารถเปิดประตูของความรอดด้วยการเชื่อในความจริงนี้ในกลางใจตนและสามารถเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ได้เท่านั้น 
หากท่านไม่สามารถแยกแยะความผิดพลาดของความเชื่อเดิมของเราที่มีมาก่อนที่จะมารู้จักข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณได้แล้วท่านจะทุกข์ทรมานกับการลงโทษของบาป เพราะท่านจะไม่สามารถรอดจากบาปได้ หากเกิดสิ่งนี้ขึ้น ท่านจะไม่สามารถเข้าสู่ที่บริสุทธิ์ได้โดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ท่านก็จะสามารถได้รับอาหารแห่งชีวิต
ท่านจะต้องตระหนักว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยการชำระบาปของท่านด้วยบัพติศมาของพระองค์ซึ่งเป็นด้ายสีฟ้า และด้วยการแบกรับการปรับโทษบาปของท่านด้วยพระโลหิตที่ทรงหลั่งบนไม้กางเขน ซึ่งคือด้ายสีแดงเข้ม และท่านจะต้องตระหนักอย่างชัดเจนและเชื่อว่าข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณคือความจริงที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อท่าน ท่านมาสู่คริสตจักรของพระเจ้าได้และได้แบ่งปันอาหารแห่งชีวิตด้วยความชอบธรรมเพียงเมื่อท่านทราบว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ประทานข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณมาให้ท่านและเพียงเมื่อท่านเชื่อในสิ่งนี้เท่านั้น
 


เนื้อหนังของพระผู้เป็นเจ้าคืออาหารแห่งชีวิตและของการยกความผิดบาป

 
เราลองกลับมาดู ยอห์น 6:49-53 “ ‘ บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและสิ้นชีวิต แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ผู้ที่ได้กินแล้วไม่ตาย เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้นก็คือเรา’ แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า ‘ ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร ‘ พระเยซูจึงตรัสกับเข้าว่า ‘ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน ‘ “ พระเยซูตรัสว่าผู้ที่ได้กินเนื้อหนังของพระองค์และได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์ ข้อความนี้หมายความว่าเราทั้งหมดจะต้องได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์
แล้วเราจะกินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ได้อย่างไร? ด้วยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่เราจะสามารถกินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ได้ เราสามารถกินเนื้อหนังของพระองค์ด้วยการเชื่อว่าพระเยซูทรงแบกรับบาปของเราไว้โดยบัพติศมาของพระองค์ และเราได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์ได้โดยการเชื่อว่าพระเยซูทรงแบกรับบาปของเราและรับการปรับโทษบาปของเราบนไม้กางเขน 
เราต้องเชื่อเช่นกันว่าพระเยซูทรงลบมลทินบาปของเราออกไปและทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยพระราชกิจของความรอดที่แสดงในด้ายสีฟ้า, สีม่วง และสีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี ท่านต้องยอมรับว่าความเชื่อเก่าของท่านนั้นผิดโดยไม่คำนึงว่าท่านได้เชื่อก่อนที่จะเชื่อในข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณอย่างไร และท่านจะต้องยกประกับของความเชื่อด้วยการได้รับเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูและได้กินอาหารแห่งพระวจนะ 
ยอห์น 6:53 กล่าวว่า “ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโล หิตของบุตรมนุษย์ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน “ แม้แต่ตอนนี้บางคนยังใช้ข้อความนี้เพื่อโต้เถียงกับคำสอนของการเปลี่ยนสสารหนึ่งไปเป็นอีกสสารหนึ่ง ซึ่งคำสอนนี้ยึดว่าขนมปังและไวน์ได้ใช้ใน การชุมนุมบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนเนื้อหนังแท้จริงและพระโลหิตของพระเยซูไปเมื่อพวกเขาทำพิธีกรรมด้วยความเชื่อเท่านั้น แต่เราต้องตระหนักและเชื่อว่าข้อความของยอห์น 6:53 นี้ห่างไกลจากการเปลี่ยนสสารนั้น ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นการพูดถึงข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ
ในระหว่างการชุมนุมบริสุทธิ์ หากท่านรอแถวและปุโรหิตวางขนมปังขนมปังหนึ่งชิ้นในปากของท่าน ขนมปังนี้จะเปลี่ยนไปเป็นร่างกายของพระเยซูไหม? ไม่! เรากินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ได้ด้วยการเชื่อว่าพระเยซูเสด็จมาโลกนี้ ทรงรับเอาบาปของโลกนี้ไว้และชำระมันออกไปด้วยการรับบัพติศมา ทรงแบกรับบาปเหล่านี้ไปสู่ไม้กางเขนและสิ้นพระ ชนม์บนนั้นและจึงได้ช่วยเราให้รอดจากความตาย 
ผู้ที่ได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์ด้วยความเชื่อเป็นผู้ที่เชื่อในความจริงที่พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดจากบาปด้วยการรับเอาบาปของเราไว้และแบกรับการปรับโทษบาปของเราด้วพระองค์เองโดยด้ายสีฟ้าและสีแดงเข้ม เราต้องกินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ด้วยความเชื่อของเราในบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ 
พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดน เพื่อรับเอาบาปของเราให้ผ่านไปสู่พระองค์ เราลองกลับมาดู มัทธิว 3:15-17 “ แล้วพระเยซูตรัสตอบยอห์นว่า ‘ บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ ‘ แล้วท่านก็ยอมทำตามพระองค์ และพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้วในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และดูเถิดท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็น พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์ และดูเถิดมีพระสุรเสียงตรัสมาจากฟ้าสวรรค์ว่า ‘ ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก ‘ “ 
เพราะว่าพระเยซูทรงรับบาปทั้งหมดไว้เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นและสิ้นพระ ชนม์บนไม้กางเขน พระองค์จึงสามารถทำให้ความชอบธรรมของพระเจ้าทั้งหมดสมบูรณ์ ความเชื่อของเราที่เชื่อในความจริงของข่าวประเสริฐที่ผู้มีบาปทั้งหมดของโลกนี้ได้ผ่านไปสู่พระเยซู คริสต์ในตอนที่ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น คือความเชื่อที่แท้จริงที่เราสามารถกินเนื้อหนังของพระเยซูและพระโลหิตของพระองค์ได้ 
หากเราตระหนักในความจริงนี้แล้ว ท่านก็ได้กินเนื้อหนังของพระเยซูด้วยความเชื่อ การที่บาปของท่านของโลกได้ผ่านไปสู่พระเยซู คริสต์ครั้งหนึ่งเพื่อทั้งหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับท่านในการเชื่อในสิ่งนี้ในหัวใจของท่าน ความเชื่อนี้คือความเชื่อที่ทำให้ท่านสามารถกินเนื้อหนังของพระเยซูได้ บาปของท่านได้ผ่านไปสู่พระเยซูโดยบัพติศมาของพระองค์ไหม? เพียงเมื่อท่านเชื่อในสิ่งนี้ท่านจะสามารถกินเนื้อหนังของพระเยซูได้ หลังจากที่พระเยซูทรงรับบัพติศมาจากยอห์น ยอห์นก็ทรงตะโกนออกมาอย่างดังว่า “ จงดูพระเมษโปดกของโลก ผู้รับเอาความผิดบาปของโลกไปเสีย “ ( ยอห์น 1:29 ) 
และเพราะว่าพระเยซูทรงยอมรับเอาบาปของโลกนี้ไว้โดยบัพติศมาของพระองค์ พระองค์จึงต้องแบกมันไว้ด้วยพระวรกายของพระองค์ ทรงถูกตรึงไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตของพระ องค์จนสิ้นพระชนม์ ด้วยการถูกตรึงไม้กางเขน ถูกตอกตะปูทั้งพระบาทและพระหัตถ์ทั้งสองข้าง และหลั่งพระโลหิตของพระองค์ พระเยซูจึงทรงตะโกนออกมาในก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ว่า “ มันสำเร็จแล้ว! “ จากนั้นก็ทรงฟื้นจากความตายในสามวัน ทรงเป็นพยานอยู่ 40 วัน และเสด็จขึ้นสวรรค์ไป และตอนนี้พระองค์ประทับบนเบื้องพระหัตถ์ขวาของพระบัลลังค์ของพระเจ้า พระบิดา และพระองค์ทรงสัญญาเช่นกันว่าจะเสด็จกลับมาเหมือนกันตอนที่เสด็จขึ้นสวรรค์ ท่านเชื่อในความจริงนี้ในหัวใจของท่านไหม? ด้วยการเชื่อในความจริงนี้ที่ท่านจะได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์ เมื่อเราเชื่ออย่างแท้จริงในการที่เราสามารถกินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ได้ ด้วยความเชื่อนี้ที่เราสามารถกินอาหารแห่งที่บริสุทธิ์ได้ 
พระผู้เป็นเจ้าทรงรับสั่งกับเราว่าให้เราจดจำเนื้อหนังและพระโลหิตของพระองค์ไว้เสมอในเมื่อใดก็ตามที่เราร่วมชุมนุมกัน ( 1 โครินธ์ 11:26 ) ดังนั้นทุกครั้งที่เรารวบรวมกันเราต้องตระ หนักถึงเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูอยู่ตลอดเวลา เมื่อมันด้วยความเชื่อที่เราจะต้องกินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์เมื่อใดก็ตามที่เรารวบรวมกัน เราจะยึดการชุมนุมบริสุทธิ์ว่าเป็นเพียงพิธีกรรมประจำปีเท่านั้นหรือ? 
เพราะว่าเราเชื่อในบัพติศมาที่พระเยซูทรงรับเอาบาปของเราไว้ที่พระองค์และเชื่อในการเสียสละพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน ด้วยความเชื่อที่เราจดจำเนื้อหนังและพระโลหิตของพระองค์ทุกวัน เพราะว่าเราเชื่อในความจริงของน้ำและพระวิญญาณที่ทุกวันเราได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ ตามที่พระเยซู ตรัสว่า “ ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์ “ ( ยอห์น 6:54 ) พระองค์จะทรงให้ผู้ที่ได้กินเนื้อหนังของพระองค์และได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์ฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย 
เราต้องยอมรับว่าหากเนื้อหนังของเราไม่ให้เราได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์แล้วมันก็จะเป็นความเชื่อผิดๆ พระผู้เป็นเจ้าของเราตรัสว่า“ ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอา หารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราก็อยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงพระชนม์ได้ทรงใช้เรามาและเรามีชีวิตเพราะพระบิดานั้นฉันใด ผู้ที่กินเรา ผู้นั้นก็จะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น “( ยอห์น 6:54-57 )  
ผู้ที่ได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์ด้วยความเชื่อ จะมีชีวิตอยู่เพราะพระองค์ อีกนัยหนึ่ง ผู้ที่ไม่ได้กินเนื้อหนังของพระผู้เป็นเจ้าและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์จะตาย เพราะพวกเขาไม่เชื่อ แต่มันไม่ยากสำหรับเราที่จะได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์ด้วยความเชื่อ 
ลองสมมุติสักครู่ว่ามีการสอบของความรอดที่เราจะต้องสอบเพื่อที่จะได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า คำถามหนึ่งถามว่า “ ความเชื่อที่ทำให้ท่านได้สามารถกินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์คืออะไร? “ เราควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร? เมื่อทั้งเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูยังคงเป็นความจริง เราจะกล่าวได้ไหมว่าเราได้กินเนื้อหนังของพระองค์ในเมื่อความเป็นจริงเราเพียงดื่มพระโลหิตของพระเยซู? เราต้องเขียนทั้งบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซูลงเป็นคำตอบด้วย เราเข้าไปสู่อาณาจักรสวรรค์ได้เพียงเมื่อเรากินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ หากเรามีความเชื่อผิดๆและเข้าใจผิดมาก่อน ซึ่งหากเราหันใจของเรากลับมากินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์แล้ว เราก็จะสามารถสอบผ่านได้ หากเราเชื่อในเนื้อหนังของพระเยซูและพระโลหิตในตอนนี้ เราก็จะผ่านข้อสอบไปได้อย่างง่ายดาย
ผู้คนดูแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรที่กลางใจ และเมื่อเราเชื่อทั้งบัพติศมาของพระเยซูและพระโลหิตของไม้กางเขนแล้ว เราจะได้กินเนื้อหนังของพระเยซูและดื่มพระโลหิตของพระองค์ พระเจ้าทอดพระเนตรดูที่กลางใจของเราว่าเรามีความเชื่อในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูในหัวใจของเราหรือไม่ ดังนั้น หากเราไม่เชื่อในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูในกลางใจแล้ว เราก็จะไม่รอดจากบาป หากตอนนี้ท่านมีความเชื่อที่เชื่อทั้งเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซู ท่านก็จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์โดยไม่ต้องคำนึงว่าท่านอาจจะเชื่อเช่นใดมาก่อน 
นักศาสนาหลายคนในโลกนี้ได้โต้แย้งกันอย่างไม่สิ้นสุดในเรื่องต่างๆของคำสอนของการเปลี่ยนสสาร ในความเป็นจริงสิ่งที่จำเป็นก็คือความเชื่อที่ให้เราสามารถกินเนื้อหนังของพระเยซูและได้ดื่มพระโลหิตของพระองค์ แต่นี่เป็นไปได้เพียงเมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในกลางใจของเรา การเชื่อในพระเยซูในศูนย์กลางหัวใจเราผ่านข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณคือการได้กินขนมปังที่แท้จริงและได้ดื่มเครื่องดื่มที่แท้จริง
 

เราจะต้องเชื่อในบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซูว่าเป็นการยกความ ผิดบาปของเรา
 
พระผู้เป็นเจ้าของเราตรัสว่า “โลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ “ ( ยอห์น 6:55 ) พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงรับการปรับโทษบาปบนไม้กางเขน ความเชื่อที่เชื่อว่าพระเยซูทรงรับเอาบาปของเราไว้ด้วยการรับบัพติศมาและหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขนคือความเชื่อที่ให้เราสามารถดื่มพระโลหิตของพระเยซูได้ พระเยซูทรงรับเอาบาปทั้งหมดของเรารวมทั้งของลูกๆของท่าน ของพ่อแม่ของท่านและของเราทุกคนไว้โดยบัพติศมาที่ทรงรับจากยอห์น และทรงแบกรับการปรับโทษบาปเหล่านั้นแทนเราด้วยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน พระเยซูทรงแก้ไขปัญหาบาปทั้งหมดของเราออกไปอย่างแน่นอนเพื่อทุกคนทั้งโลกด้วยบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์ การเชื่อว่าพระเยซูทรงรับเอาบาปของเราไปด้วยบัพติศมาของพระองค์และรับการปรับโทษบาปเพื่อเราด้วยพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขนคือการได้ดื่มพระโลหิตของพระเยซูด้วยความเชื่อ 
ในโลกปัจจุบันนี้ มีผู้คนมากมายที่กล่าวว่าพวกเขาเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณเพียงด้วยคำพูดของพวกเขา แต่พวกเขาไม่เชื่อทั้งหมดในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซู ใครก็ตามที่ไม่มีความเชื่อทั้งหมดในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูก็ไม่สามารถยกความผิดบาปได้ ท่านอาจจะเชื่อมาก่อนว่าพระโลหิตของพระเยซูนั้นเป็นเพียงความจริงเดียว แต่ตอนนี้ที่ท่านได้พบความจริงแท้แล้ว ท่านจะต้องมีความเชื่อที่เชื่ออย่างชัดเจนในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซู และพระเจ้าก็จะทรงทราบว่าท่านรอดแล้ว อีกนัยหนึ่ง หากท่านไม่วาดเส้นของความรอดที่ชัด เจนในประเด็นนี้ นั่นคือบนการยกความผิดบาปที่ได้รับด้วยความเชื่อที่เชื่อในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูในกลางใจ แล้วท่านก็จะไม่สามารถมีความเชื่อที่พระเจ้าทรงยอมรับ 
พระผู้เป็นเจ้าของเราตรัสว่า “ ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเรา และเราอยู่ในเขา “ ( ยอห์น 6:56 ) แต่ถ้าเราไม่กินเนื้อหนังของพระเยซูและไม่ดื่มพระโลหิตของพระองค์ด้วยความเชื่อแล้ว เราก็จะไม่สามารถเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าได้ และใครก็ตามที่ไม่มีความเชื่อที่เชื่อในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูก็จะไม่อยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เขียนหวังอย่างยิ่งว่าในหมู่วิสุทธิชนทั้งหลาย, คนทำงาน และคนรับใช้ของพระเจ้าในคริสตจักรของเรา จะไม่จากไปจากความเชื่อนี้ที่เชื่อในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซู 
เมื่อเมืองโสดมและเมืองโกโมราห์ถูกทำลายด้วยไฟ บุตรเขยของโลทนึกถึงพระวจนะแห่งชีวิตของพระเจ้าซึ่งได้บอกแก่โลทแล้วเขานึกว่าเป็นเรื่องตลก สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังแล้ว การพิพากษาของพระเจ้าก็จะนำพวกเขาไปนึกว่าเป็นเพียงการเขียนไว้เท่า นั้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกปรับโทษบาปของการไม่เชื่อของพวกเขา พวกเขาจะถูกทำลายเพราะบาปของตน สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องตลกที่ท่านจะไม่ให้ความสนใจ
ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณหมายความถึงความเชื่อในเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซู ด้วยความเชื่อในความจริงนี้ที่เราได้พ้นจากบาปของเราและได้รับชีวิตนิรันดร์ เพราะความเชื่อของเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูที่เราเชื่อว่าเป็นข่าวที่แท้จริง ราจึงต้องรักษาความจริงนี้ในหัวใจของเรา เราจะต้องยึดพระวจนะของพระเจ้าเอาไว้ให้แน่นและไม่ปล่อยให้มันลื่นหล่นจากเราไปด้วยการยกประกับของความเชื่อให้สูงขึ้นในหัวใจของเราก่อน เราต้องยอมรับความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงลบความผิดบาปทั้งหมดของผู้มีบาปด้วยเนื้อหนังและพระโลหิตของพระเยซูด้วยการเชื่อมันในหัวใจของเรา 
ผู้เขียนหวังและอธิษฐานว่าท่านจะเชื่อทั้งหมดในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่สมบูรณ์โดยพระผู้เป็นเจ้า ได้กินอาหารแห่งความรอดที่ช่วยท่านให้รอดจากบาป และจึงได้รับชีวิตนิรันดร์