Search

Khotbah-Khotbah

เรื่องที่ 9: โรม (ข้อคิดเกี่ยวกับหนังสือของโรม)

[บทที่ 1-3] คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ (โรม 1:17)

(โรม 1:17)
“เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’”
 
 
เราจะต้องมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ
 
คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างไร? ดำรงอยู่โดยความเชื่อ คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ ในความเป็นจริงแล้วคำว่า ‘ความเชื่อ’ นั้นเป็นคำธรรมดามากแต่มันเป็นแก่นของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อเพียงเท่านั้น คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ได้อย่าง ไร? พวกเขาดำรงอยู่โดยความเชื่อในพระเจ้า ผู้เขียนหวังว่าเราจะได้รับความรู้จากส่วนนี้ เพราะว่าเรามีเนื้อหนังและมีพระวิญ ญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับเรา เราตั้งใจที่จะแปลพระคัมภีร์ต่างๆด้วยความคิดของเราเอง โดยไม่รู้จักความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในนั้นเลย แม้ ว่าเราอาจจะมีความเข้าใจในพระคัมภีร์ตามตัวอักษร เรามีพร้อมทั้งเนื้อหนังและพระวิญญาณ ดังนั้นพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จึงกล่าวว่าเราผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อเพราะว่าเราได้รับการยกความผิดบาป
 
 
แต่ปัญหาก็คือว่าเนื้อหนังไม่สามารถกระทำความดีได้
 
แต่ปัญหาก็คือว่าเรามีเนื้อหนังด้วยเช่นกัน ดังนั้นในหลายกรณีเราดำรงชีวิตตามเนื้อหนัง บาง ครั้งเราตัดสินและมองเห็นบางสิ่งบาง อย่างด้วยการยึดติดอยู่กับความคิดของเนื้อหนัง และเมื่อเป็นความเชื่อเราก็ไม่เชื่อในพระวจนะของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวไว้อย่างง่ายๆว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อเพียงเท่านั้น แล้วมันหมายความว่าอย่างไรล่ะ? ท่านอาจจะคิดว่า ‘คนชอบธรรมที่ไม่มีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่ออยู่ที่ไหน? ทำไมจึงเน้นในประโยคนี้นัก? มันไม่มีเพียงประโยคเดียวในพระคัมภีร์เลยใช่ไหม?’
วันนี้ผ(ุ้เขียนต้องการที่จะบอกท่านเกี่ยวกับประโยคนี้ เราจะต้องมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ เราจะไม่ตระหนักว่าเราไม่รู้บางสิ่งกระทั่งเราพยายามที่จะอธิบายสิ่งนั้น แม้ว่าในความคิดของเรา เราคิดว่าเรารู้จักสิ่งนั้นเป็นอย่างดี อะไรคือคู่ปฏิปักษ์ที่ต่อสู้กับผู้มีบาป? ผู้ที่เกิดใหม่ต่อสู้กับอะไร? เนื้อหนังและจิตวิญญาณภายในตัวของคนผู้นั้นต่อสู้กันเอง ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมผมถึงกล่าวซ้ำในสิ่งที่เราทราบกันแล้ว แต่ผู้เขียนอยากจะอธิบายสิ่งนี้อีกครั้งเพราะว่ามันมีค่าที่จะกล่าวถึง
แม้ในวิสุทธิชนผู้เกิดใหม่ เนื้อหนังและจิตวิญญาณของเขาหรือเธอผู้นั้นก็ยังต่อสู้กันเองเนื่อง จากเขาหรือเธอต่างก็มีเนื้อหนังเช่นกัน มันคือส่วนที่เป็นสัญชาตญาณในเนื้อหนังและมันอ้างไปถึงการมีชีวิตดำรงอยู่อย่างเกินขอบเขตที่พยายามจัดการกับทุกๆปัญหามากว่าการดำรงชีวิตอยู่โดยความเชื่อ และมันก็ยังเป็นส่วนที่เป็นสัญชาตญาณในเนื้อหนังของผู้มีความชอบธรรมที่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างเกินขอบเขต ที่พยายามที่เข้าถึงความสมบูรณ์โดยไม่ทำความผิดพลาดใดๆเลย ซึ่งยังห่างไกลจากการดำรงชีวิตอยู่ตามความเชื่อที่พระเจ้าทรงบอกให้พวกเขาดำเนินชีวิต
ดังนั้น แม้ในการทำงานทางฝ่ายจิตวิญญาณของเนื้อหนังของผู้ที่มีความชอบธรรมก็ต้องการที่จะเข้าถึงความสมบูรณ์เช่นกัน โดยพยายามที่จะเข้าถึงปัญหาทางจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์ และมีความ หวังที่จะเข้า ถึงความสมบูรณ์ทางเนื้อหนังในเวลาเดียวกันด้วย แต่มีใครนำชีวิตของความเชื่อด้วยเนื้อหนังได้? ตามที่เปาโลกล่าวว่า “ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพ เจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่” (โรม 7:19) เนื้อหนังไม่เคยทำดี เรามีสัญชาตญาณในเนื้อหนังที่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสง่าผ่าเผยต่อพระพักตร์พระเจ้า แม้ว่าเนื้อหนังไม่สามรถที่จะช่วยได้แต่กระทำการชั่วก็ตาม
 
 
เราไม่สามารถนำชีวิตของความเชื่อด้วยเนื้อหนัง
 
ดังนั้นเมื่อพูดจริงๆแล้ว การพยายามที่จะมีชีวิตด้วยความศรัทธาด้วยเนื้อหนังนั้นก็ยังห่างไกลจากความเชื่อที่ถูกต้องอยู่ เรามีความคิดที่ขัด แย้งกันและมีสัญญาตญาณไปยังพระเจ้าตามมุมมองของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล การมีความสมบูรณ์ในเนื้อหนังและการนำชีวิตของความเชื่อด้วยเนื้อหนังโดยไม่มีปัญหาอันใดนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื้อหนังของมนุษย์ก็เหมือนกับผงคลี พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า “เราระ ลึกว่าเราเป็นแต่ผลคลี” (สดุดี 103:14) มันก็เหมือนกับไอน้ำที่หายไปทีละน้อยและก็สูญสิ้นหมดไปเพราะ ว่ามันไม่สมบูรณ์
ทั้งเนื้อหนังของผู้ที่เกิดใหม่ และผู้ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่มีความ สามารถในการไม่ทำบาปไหม? ผู้ที่เกิดใหม่สามารถหลบเลี่ยงการทำบาปได้ไหม? เราไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อที่เนื้อหนังไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากการทำบาป แล้วเราจะดำรงชีวิตอยู่โดยพลังของเนื้อหนังได้ไหม? เราทราบอย่างแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ ปัญหาก็คือว่าถ้าเรารู้และตระหนักหรือไม่ว่าเนื้อหนังที่อ่อนแอนั้นยัง คงทำบาปต่อไป โดยไม่คำนึงว่าเราเป็นผู้ที่เกิดใหม่หรือไม่
เรารู้จักเนื้อหนังของเรามากเท่าใด? เรารู้จักเกี่ยวกับตัวของเราเองมากเท่าใด? ท่านอาจจะคิดว่าท่านรู้จักตัวเองดี 100% แต่เอกลักษณ์เฉพาะ ตัวของท่านนั้นห่างไกลจากอุปนิสัยแท้จริงของท่าน เพราะ ท่านไม่เชื่ออย่างแท้จริงว่ายังมีบาปอยู่มาก ท่านคิดว่าท่านรู้จักตัวเองสักกี่เปอร์เซ็นต์? สัก 50% ก็ยังเยอะไป ผู้คนมักเข้าใจตัวของตัวเองดีมากสุดก็เพียงแค่ 10 หรือ 20% เท่านั้น ในความเป็นจริงแม้ว่าพวกเขาคิดว่า เขารู้จักตัวเอง 100% พวกเขาก็รู้จักตัวเองประมาณ 10 หรือ 20% เท่านั้น เมื่อพวกเขาคิดว่าเขาทำความชั่วอย่างมาก พวกเขาก็จะเกิดความละอายใจและหยุดเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า จากนั้นพวกเขาก็จะมีคำ ถามว่าพวกเขาสามารถรักษาความเชื่อของตนเองจนถึงที่สุดหรือไม่และก็จะสรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้
น้ำสกปรกและขยะจำนวนมากไหลออกมาจากรางน้ำของจิตใจที่เกี่ยวกับทางโลก มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ สำหรับพวกเขาที่จะนำชีวิตที่มีความศรัทธาโดยความเชื่อ “โอ! ฉันคิดว่ามันเป็นไปไม่ ได้อีกต่อไปแล้วที่จะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ฉันคิดว่าเนื้อหนังของฉันจะดีขึ้นหลังจากลบความผิดบาปออก ไปครั้งหนึ่งและเพื่อทั้งหมดแล้ว แต่เนื้อหนังของฉันยังอ่อนแอ และฉันอยู่ในความสมบูรณ์เพียงชั่วขณะเท่านั้น แม้มันจะเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ที่ฉันได้เกิดใหม่ เนื้อหนังก็ยังไม่มีประโยชน์และน่าเกลียดอยู่” เราไม่รู้จักตัวเองเลย และเราไม่ต้องการที่จะยอมรับความ ผิดของเนื้อหนังของเราโดยเฉพาะเช่นกัน ดัง นั้นผลก็คือว่าเราไม่สามารถนำชีวิตโดยความเชื่อได้เมื่อเราเห็นว่าความคิดที่เกี่ยวกับทางโลกไหลออก มาจากเนื้อหนัง เราไม่สามารถนำชีวิตของความเชื่อให้อยู่โดยเนื้อหนังได้ เนื้อหนังของมนุษย์คืออะไร? เนื้อหนังของมนุษย์จะบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆและมีชีวิตที่สมบูรณ์ต่อพระพักตร์พระเจ้าถ้ามันได้ทำการฝึกหัดอย่างดีด้วยการสอบสวนของตัวเองได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนและเนื้อหนังไม่สามารถช่วยการทำบาปได้จนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย
 
 

แล้วคนชอบธรมจะมีชีวิตอยู่อย่างไร?

 
“ถ้าเจ้าทั้งหลายได้ประพฤติผิดมิได้รักษาพระบัญญัติเหล่านี้ทุกประการ ซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสสั่งแก่โมเสส ทุกประการซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงบัญชาไว้ทางโมเสส ตั้งแต่วันที่พระเยโฮวาห์ประทานพระบัญชาแก่โมเสส และต่อๆไปตลอดชั่วอายุของเจ้า แล้วถ้าประชาชนได้กระทำผิดโดยไม่เจตนา โดยที่ชุมนุมชนไม่รู้เห็น ชุมนุมชนทั้งหมดต้องถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา ให้เป็นกลิ่นที่พอพระ ทัยแด่พระเยโฮวาห์ พร้อมกับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันตามลักษณะ และถวายลูกแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และให้ปุโรหิตทำการลบมลทินบาปให้ แก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด และเขาทั้งหลายจะได้รับอภัยโทษ เพราะเป็นการผิดโดยไม่เจตนา และเขาจะนำเครื่องบูชาของเขามาถวายด้วยไฟแด่พระเยโฮวาห์ และถวายเครื่องบูชาไถ่บาปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพราะความผิดโดยไม่เจต นาของเขา และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดจะได้รับอภัยโทษ พร้อมกับคนต่างด้าวผู้อยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะว่าพลเมืองทั้งหมดเกี่ยวพันกับความผิดนั้นอันเกิดขึ้นโดยไม่เจตนา ถ้าบุคคลคนหนึ่งคนใดกระทำผิดโดยไม่รู้ตัว ก็ให้ผู้นั้นเอาแพะเมียอายุขวบหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และให้ปุโรหิตกระทำการลบมลทินบาปต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ให้บุคคลนั้น ผู้กระทำผิดเมื่อเขากระทำบาปโดยไม่รู้ตัว เพื่อทำการลบมลทินบาปเขาเสีย และเขาจะได้รับอภัยโทษ ให้เจ้ามีพระราชบัญญัติอย่างเดียวสำ หรับผู้กระทำผิดโดยไม่รู้ตัว คือคนอิสราเอลผู้เป็นชาวพื้นเมืองและผู้เป็นคนต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางเขา” (กันดารวิถี 15:22-29)
“ถ้าเจ้าทั้งหลายได้ประพฤติผิดมิได้รักษาพระบัญญัติเหล่านี้ทุกประ การ ซึ่งพระเยโฮวาห์ตรัสสั่งแก่โมเสส” ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีหลายคำ พูดที่เหมือนคำว่า “ประพฤติผิด” เนื้อหนังประพฤติผิดและทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมได้ถามท่านว่ามันเป็นไปได้ไหมที่เนื้อหนังจะสมบูรณ์ได้ แม้ ว่าหลังจากที่เราได้รับการยกความผิดบาปออกแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถสมบูรณ์ได้เลย ดูเหมือนเนื้อหนังจะชอบธรรมอย่างสมบูรณ์ในตอนแรก หลังจากที่เราได้รับการไถ่บาป แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้ช่วยให้เราได้เปิดเผยตัวเองเองเลย แต่มันกับซ่อนเรา เนื้อหนังเหมือนขยะที่หกออกมาและทำบาปอยู่ตลอดเวลา เนื้อหนังมักจะทำบาปที่พระเจ้าทรงเกลียด เนื้อหนังทำบาปอย่างนับไม่ถ้วนอยู่ตลอดเวลาไหม? เนื้อหนังมักจะดำรงชีวิตอยู่ตามที่พระเจ้าต้องการไหม? เนื้อหนังมักจะทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการ เนื้อหนังมักจะทำบาปอย่างควบคุมไม่ได้เลย
พระบัญญัติของพระเจ้าประกอบด้วยพระบัญญัติสิบประการ และก็มี613หัวข้อปลีกย่อย “อย่ามีพระอื่นใดนอกจากเรา อย่าทำรูปสลักสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างไร้ประโยชน์ จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ จงให้เกียติแก่บิดามารดาของเจ้า อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภครัว เรือนของเพื่อนบ้าน พระบัญญัติสี่ข้อแรกเป็นพระบัญญัติที่ต้องรักษาความสัมพันธ์กับพระเจ้า พระบัญ ญัติส่วนที่เหลือจากข้อห้าถึงข้อสิบ เป็นพระบัญญัติที่ควรจะรักษาท่ามกลางความเป็นมนุษย์ แต่เนื้อหนังนั้นต้องเชื่อฟังพระบัญญัติไหม?
มีเส้นสีขาวบนถนนให้สำหรับผู้เดินเท้าข้ามถนนอย่างปลอดภัย แต่เนื้อหนังไม่เคยต้องการรักษากฎจราจร คนข้ามถนนในเส้นก็เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองพวกเขา ความจริงก็คือพวกเขาไม่ต้องการจะปฏิบัติตามกฎ หมายเท่าใดนัก พวกเขาข้ามถนนในขณะที่ปฏิเสธสัญญาณจราจรเมื่อไม่มีใครอยู่แถวนั้น
เนื่อหนังทำบาปโดยอัตโนมัติ หากพวกเขามีความรู้ดีพอพวกเขาก็ควรปฏิบัติตามสัญญาณจราจรโดยไม่ต้องกลัวว่ามีใครจ้องมองตนอยู่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็จะมีความรู้อย่างง่ายๆผ่านเนื้อหนัง เราไม่ชอบข้ามถนนตามสัญญาณจราจรและพยายามไม่ปฏิบัติตามเท่าที่เป็นไปได้
แล้ววัตถุประสงค์ที่พระเจ้าประทานพระราชบัญญัติมาให้เราคืออะไร? เพราะว่าพระราชบัญญัตินั้นเราจึงรู้จักบาปได้ (โรม 3:20) เพราะว่าพระราชบัญญัติก็ทำให้เราทราบว่า เราเป็นผู้มีบาปที่มักจะไม่เชื่อฟังพระบัญญัติสิบประการ เรามักจะทำบาป พระบัญญัติมักจะขอให้เรากระทำความดีและไม่กระทำความชั่ว ทว่าเนื้อหนังของเรามักจะทำบาป เนื่อง จากมันอ่อนแอเกินไปที่จะรักษาพระบัญญัติ พระคัมภีร์กล่าวว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ อย่างไรก็ตามคนชอบธรรมผู้ยังคงมีเนื้อหนังนี้อยู่จะมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อได้อย่างไร? พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตดำรงอยู่โดยพระบัญญัติ ในเนื้อหนังของตนได้ แล้วพวกเขาอยู่ได้อย่างไร? พวกเขามีชีวิตดำรงอยู่โดยเชื่อในพระเจ้าเพียงเท่านั้น
จิตวิญญาณต้องการที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า แต่เนื้อหนังมักจะทำบาปและไม่เชื่อฟังพระบัญญัติสิบประการสักข้อเดียวเลย เนื้อหนังที่ทำบาปในตอนนี้ ทำบาปวันนี้และที่ทำบาปในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นบาปที่เนื้อหนังต้องการทำมากกว่าบาปอื่นใด เนื้อหนังของมนุษย์จึงทำบาปตลอดช่วงชีวิตของเขาหรือเธอ มันถูกต้องหรือไม่?
เราลองมาดูพระบัญญัติข้อที่ห้าที่ว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า” มันมีเหตุผลโดยสม บูรณ์ และผู้คนพยายามที่จะรักษาข้อนี้แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถรักษาพระบัญญัติข้อได้นี้ตลอดเวลาก็ตาม ดังนั้นเราลองมาข้ามข้อนี้ไป ข้อต่อไปที่ว่า “อย่าฆ่าคน” พวกเราทั้งหมดฆ่าผู้อื่นข้างในจิตใจของเราในขณะที่ มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ฆ่าผู้อื่นทางเนื้อหนังอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเราก็มาข้ามข้อนี้ไปด้วยเพราะว่าการฆ่าคนเป็นบาปที่ร้ายแรง ข้อต่อไป “อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา” และ “อย่าลักทรัพย์” บาปทั้งสองข้อนี้กระทำได้โดยง่ายในชีวิตประจำวันของเรา บางคนมีความสามารถในการลักทรัพย์และทำผิดประเวณีมาโดยกำเนิด พวกเขาจึงทำบาปจนติดเป็นนิสัย พวกเขาโลภด้วยไหม? (พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวเช่นกันว่าความโลภก็เป็นบาป) พวกเขาเก่งที่จะเอาของๆคนอื่นมาเป็นของของตัวเอง (การลักทรัพย์) เนื้อหนังกระทำความชั่วเหล่านี้เมื่อใดก็ตามที่มันต้องการทำเช่นเดียวกัน
เราลองมาสมมุติว่าถ้าเราทำบาปเพียงแค่อย่างหรือสองอย่างจากบาปทั้งสิบประเภท แล้วจะยังทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าหรือไม่? –ไม่เลย- เราไม่ได้เป็นคนชอบธรรมโดยเนื้อหนังต่อพระพักตร์พระเจ้า แม้แต่เสี้ยวหนึ่งของบาปก็คือบาปอยู่วันยังค่ำ เนื้อหนังทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งในวันนี้และพรุ่งนี้จนเราตาย เนื้อหนังไม่ทำอะไรเลยนอกจากทำบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า จนเราตาย ดังนั้นท่านเคยสะอาดและบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระเจ้าแม้แต่วันเดียวไหม? ลองมาดูเนื้อหนังโดยแยกออกจากจิตวิญญาณ ท่านเคยสมบูรณ์ด้วยเนื้อหนังโดยไม่เคยทำบาปต่อพระพักตร์พระเจ้าไหม? ใครก็ตามทำบาปได้แม้กระทั่งผู้นั้นนอนหลับ เขามีความสุขอยู่กับการเห็นภาพหยาบคายแม้ในขณะที่ฝันอยู่ โดยฝันถึงหญิงสาวสวยผ่านการจินตนาการ เราทั้งหมดทำบาป เนื้อหนังกระทำสิ่งที่พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ทำและไม่ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงบอกให้เราทำ เนื้อหนังจึงมักจะเหมือนกันหมดแม้หลังจากเราลบความผิดบาปของเราออกไปแล้วก็ตาม เราจะสมบูรณ์ได้อย่างไร? อะไรคือวิธีที่จะทำให้เราบริสุทธิ์หากเนื้อหนังของเราไม่สามารถสมบูรณ์ได้ อย่างไรก็ตามมันเป็นไปได้ผ่านพระเยซูคริสต์ไม่ใช่หรือ?
เราก็เป็นหนึ่งในผู้ทำบาปเหล่านั้น เราได้ทำบาปต่อพระพักตร์พระเยซูไหม? –ใช่ เราทำบาป- เราได้ทำบาปตอนนี้หรือไม่? –ใช่เราทำ- เรายังคงทำบาปอยู่หรือไม่? – ใช่เราทำ- เรายังคงทำบาปอยู่จนกระทั่งวันตาย ตราบเท่าที่เรายังคงมีเรายังมีเนื้อหนังอยู่ เราเป็นผู้มีบาปที่ยังคงทำบาปอยู่จนลมหายใจสุดท้าย แล้วเราจะปล่อยบาปของเราไปได้อย่างไร? อันดับแรกหากท่านยังไม่เกิดใหม่ ท่านต้องยอมรับว่าท่านเป็นผู้มีบาปต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อชำระความผิดบาปของท่านออก หลัง จากที่เรานำบาปของเราออกไปแล้ว เราจำต้องไม่สารภาพว่าเราเป็นผู้มีบาปแต่เราต้องยอมรับว่าเราได้ทำบาป เราควรยอมรับบาปของเราหลัง จากสะ ท้อนตัวเองผ่านพระบัญญัติเมื่อได้ทำบาป แม้ว่าบางครั้งเราทำดีด้วยเนื้อหนังภายใต้ข้อแก้ตัวของการทำความดี เราจะต้องยอมรับว่าบาปก็คือบาป
 
 

เราบริสุทธิ์ด้วยความเชื่อ

 
แล้วเราจะจัดการกับปัญหาบาปหลังจากที่เรายอมรับมันแล้วได้อย่างไร? เราบริสุทธิ์ได้โดยการเชื่อว่าพระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปของเราทั้งหมดไปโดยการรับบัพติสมาจาปยอห์นผู้ให้รับบัพติศ มา และทรงรับการพิพากษาบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปให้พวกเราใช่ไหม? –ใช่-เราบริสุทธิ์ได้โดยการเชื่อว่าบาปทั้งหมดที่ได้กระทำด้วยเนื้อหนัง นั้นได้ผ่านไปสู่พระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมา แล้วข้อความที่ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” หมายความว่าอย่างไร?
การมีความเชื่อคือการเชื่อในพระวิญญาณ ไม่ใช่ในเนื้อหนัง เพียงการเชื่อในพระเจ้า, ในพระวจนะของพระองค์, ในพระบัญญัติของพระองค์ และในการไถ่บาปของพระองค์ก็ทำให้เราบริสุทธิ์ได้ และเราก็จะสมบูรณ์หลังจากที่เราเป็นผู้ชอบธรรมโดยการเชื่อในพระองค์ มันเป็นความจริงหรือไม่? มันเป็นความจริง เนื้อหนังยังคงอ่อนแอและห่างไกลจากความสมบูรณ์แม้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมโดยการได้ รับการยกความผิดบาปก็ตาม พระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า “ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด” (โรม 10:10) แต่เนื้อหนังก็มักอ่อนแอและไม่สมบูรณ์ เหมือนกับของท่านเปาโล ดังนั้นเราไม่เป็นทั้งผู้ชอบธรรมและไม่เข้าถึงความชอบธรรมอย่างช้าๆด้วยเนื้อหนัง เนื้อหนังไม่สามารถมีชีวิตที่ดำรงอยู่ด้วยความชอบธรรมได้
หนทางเดียวที่คนชอบธรรมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ก็คือการเชื่อในพระเจ้า กล่าวคือการยอม รับการยกความผิดบาปและพระพรที่พระเจ้าประทานมาให้กับเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์และรักษาความชอบธรรมที่เราได้รับจากพระเจ้าได้ และมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อในพระองค์อย่างเป็นนิรันดร์ การมีชีวิตอยู่ของเราขึ้นอยู่กับความเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงกล่าวว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ เราบริสุทธิ์ได้โดยความเชื่อและรักษาความชอบธรรมของพระเจ้าโดยการมีความเชื่อและดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ ถ้าหากเนื้อหนังนั้นไม่ชอบธรรม มันก็ไม่ฉลาดเลยที่จะพยายามเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างเรื่อยๆเพราะมันเป็นไปไม่ได้ เรามีชีวิตอยู่ได้เพียงเมื่อเราได้รับความช่วยเหลือของพระเจ้าด้วยการวางใจในพระองค์ให้เป็นพระเจ้าของเรา พระเยโฮวาห์เจ้าของเรา และเป็นผู้ดูแลเราเท่านั้น
ดังนั้นเปาโลจึงกล่าวว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” ที่อ้างมาจากบทฮาบากุกในพันธสัญญาฉบับเก่า เขากล่าวเช่น เดียวกันว่า “เพราะว่าในข่าวประเสริฐของพระเจ้านั้น ความชอบธรรมก็ได้แสดงออก” อะไรคือความชอบธรรมของพระเจ้า มันเป็นความชอบที่เหมือนกับความชอบธรรมของมนุษย์หรือไม่? การลดกระทำบาปทีละน้อย ทีละน้อยนั้นทำใด้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ไหม? เราสมบูรณ์เพราะว่าเราไม่มีบาปอีกต่อไปแล้วหลังเชื่อในพระเยซูหรือด้วยการมีความเชื่อ
ความชอบธรรมของพระเจ้าก็แสดงออกในข่าวประเสริฐของพระเจ้าเท่านั้นและมันก็ทำให้เราบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ผ่านการยกความ ผิดบาปเพราะว่าเราไม่สามารถเป็นคนชอบธรรมด้วยเนื้อหนังได้เลย “ความชอบธรรมของพระเจ้าก็แสดงออกโดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ” สิ่งนี้หมาย ความว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อเท่านั้น คนชอบธรรมมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อในพระเจ้าหลังจากที่เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว คนชอบธรรมเป็นผู้ที่มีความชอบธรรมโดยรักษาความชอบธรรมของพระเจ้าและได้รับพระพรทั้งหมดของพระองค์ผ่านความเชื่อ
 
 
เราจะต้องมีชีวิตดำรงอยู่ในความเชื่อ
 
การมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อก็คือเช่นที่ว่านี้ มนุษย์เรานั้นถูกทำให้พังทลายได้ง่ายยิ่งกว่าปรา สาททรายเสียอีกโดยไม่ต้องสงสัยว่ามันจะแข็งแร็งปานใด เขาหรือเธออาจจะกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะทำสิ่งนี้และสิ่งนั้น” อย่างไรก็ตามเนื้อหนังก็ไม่สามารถทำได้ เรามีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า และพระวจนะของการชำระความ ผิดบาปและพระบัญญัติ หลังจากที่ได้รับการยกความ ผิดบาปแล้ว หากเรานำชีวิตให้ดำรงอยู่ด้วยความศรัทธามานาวยานแล้ว เนื้อหนังจะเปลี่ยนรูปให้ดีขึ้น สูงขึ้นและดูดีขึ้นไหม? ไม่เลย ดังนั้นการดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อก็คือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เราเป็นผู้ชอบธรรมโดยการมีความเชื่ออย่างแท้จริงในข่าวประเสริฐและได้รับพระพรทั้งหมดของพระเจ้าผ่านความเชื่อในพระองค์ของเรา
คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ นั่นก็คือเรามีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อในพระเจ้าของเรา ท่านเชื่อสิ่งนี้ไหม? –เชื่อ- ท่านเกิดความคาดหวังขึ้นมากมายจากเนื้อหนังของท่านไหม? ท่านคิดไหมว่า “ฉันหวังให้เนื้อหนังส่วนนี้ยังคงดีอยู่แค่เพียง 20% แม้ว่าเนื้อหนังส่วนอื่นจะไม่ดีนัก?” อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ พระเจ้าตรัสว่าไม่มีผู้ใดที่จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเนื้อหนัง ไม่แม้แต่ 0.1% ท่านมีใจที่ต้องการรักษาความเชื่อจนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอีกครั้งโดยที่ท่านไม่ทำบาป และการมีความคาดหวังของเนื้อหนังแม้เพียงเล็กน้อยไหม?
พวกเรามีความชอบธรรมด้วยการเชื่อในพระเยซูทั้งๆที่เราได้ทำบาปมากมายไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าเราไม่เชื่อในพระเยซู เราก็เป็นผู้มีบาปในเนื้อหนังโดยไม่ต้องสงสัยว่าเราจะดีซักเพียงใด เราเป็นผู้บริสุทธิ์เมื่อเราเชื่อในพระเยซู 100% แต่เราก็เป็นผู้มีบาปเมื่อเราไม่เชื่อพระองค์ 100% เช่นกัน พระเจ้าทรงพอพระทัยผู้กระทำบาปโดยแม้แต่เพียงเล็กน้อยไหม? พระเจ้าจะทรงพอพระทัยไหมหากเราเป็นผู้ชอบธรรมผ่านเนื้อหนัง?
 
 
ความชอบธรรมของพระเจ้าทำให้เราเป็นคนชอบธรรม
 
ลองมาดูโรม 3:1-8 “ถ้าเช่นนั้น พวกยิวจะได้เปรียบคนอื่นอย่าง ไร และการเข้าสุหนัตนั้นจะมีประโยชน์อะไร มีประโยชน์มากในทุกสถาน เป็นต้นว่าพวกยิวได้เป็นผู้รับมอบให้รักษาพระดำรัสของพระเจ้า ถึงมีบางคนไม่เชื่อ ความไม่เชื่อของเขานั้นจะทำให้ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าไร้ประโยชน์หรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย ถึงแม้ทุกคนจะพูดมุสาก็ขอให้พระเจ้าทรงสัตย์จริงเถิด ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `เพื่อพระองค์จะได้ปรากฏว่า ทรงเป็นผู้สัตย์ซื่อในพระดำรัสทั้งหลายของพระ องค์ และทรงมีชัยเมื่อเขาวินิจฉัยพระองค์` แต่ถ้าความอธรรมของเราเป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า เราจะว่าอย่างไร จะว่าพระเจ้าทรงลงอาญาโดยไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ (ข้าพเจ้าพูดอย่างมนุษย์) พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงพิ พากษาโลกได้อย่างไรเพราะถ้าความจริงของพระเจ้าปรากฏมากยิ่งขึ้นเพราะเหตุความอสัตย์ของข้าพเจ้าเป็นที่ให้เกิดเกียรติยศแด่พระองค์แล้ว ทำไมเขาจึงยังลงโทษข้าพเจ้าว่าเป็นคนบาป และทำไมเราจึงไม่ทำความชั่วเพื่อความดีจะได้เกิดขึ้น? ตามที่เราได้ถูกกล่าวร้ายและตามที่บางคนยืนยันว่าเราได้กล่าวอย่างนั้น ความฉิบหายของคนเช่นนั้นก็ยุติธรรมแล้ว” (โรม 3:1-8)
ท่านเปาโลกล่าวว่า “แต่ถ้าความอธรรมของเราเป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า เราจะว่าอย่างไร จะว่าพระเจ้าทรงลงอาญาโดยไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ” หากพระเจ้าทรงช่วยมนุษยชาติผู้ที่ทำบาปในเนื้อหนังจนเขาหรือเธอตายด้วยพระคุณของพระองค์ แล้วพระเจ้าจะยังทรงอธรรมและทรงผิดหรือ? สิ่งที่ท่านเปาโลได้ถามไปถึงผู้ที่ได้นำเขาไปสู่ปัญหานี้ก็หมายความว่า “ความชอบธรรมของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่ช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปทั้งหมดของเรา จะทำให้ความอ่อนแอของพวกเราปรากฎชัดขึ้น” ท่านเปาโลบอกกับผู้ที่สงสัยถึงการที่มนุษย์ที่ทำบาปตลอดช่วงชีวิตของเขาหรือเธอนั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ เขากล่าวว่าความอ่อนแอของมนุษย์ก็คือการแสดงความชอบธรรมของพระเจ้าออก มา มนุษย์เราผู้ที่เนื้อหนังยังคงทำบาปจำกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ได้เป็นเหตุให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมาผ่านความอ่อนแอของพวกเขา
ความชอบธรรมของพระเจ้าจะไม่มีความหมายใดๆเลยถ้าไม่มีผู้ใดชอบธรรมด้วยความพยายามของเขาหรือเธอเองพร้อมกับความชอบธรรมของพระองค์ หากผู้ใดจะรอดด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า 97% และก็ด้วยความพยายามของเขาหรือเธอเอง 3% เปาโลกล่าวว่าพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่ทรงช่วยผู้ที่ยังคงทำบาปจนตายได้อย่างสมบูรณ์ผ่านพระเยซู ดังนั้นความอธรรมของเราก็ได้แสดงความบริบูรณ์ของความ ชอบธรรมของพระเจ้า เนื้อหนังยังคงทำบาปอยู่ทุกวันจนตาย มันจึงไม่สามารถที่จะสมบูรณ์ได้เลยแม้แต่วันเดียว ความจริงที่ว่าพระเยซูทรงช่วยคนบาปที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้ให้รอดอย่างสมบูรณ์ จากความผิดบาปของพวกเขา ก็ได้แสดงความชอบธรรมของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นท่านเปา โลจึงกล่าวว่า “และทำไมเราจึงไม่ทำความชั่วเพื่อความดีจะได้เกิดขึ้น?- ตามที่เราได้ถูกกล่าวร้ายและตามที่บางคนยืนยันว่าเราได้กล่าวอย่างนั้น ความฉิบหายของคนเช่นนั้นก็ยุติธรรมแล้ว” (โรม 3:8)
เราเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยเนื้อหนังไหม? เนื้อหนังของเราจะสมบูรณ์ได้ไหมหลังจากที่ได้รับการยกความผิดบาปแล้ว? เนื้อหนังทำไม่ได้ ท่านและผมจะถามคำถามแก่คนอื่นๆในโลกนี้ว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยเนื้อหนังหรือไม่? –ไม่- แต่พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเราให้รอดอย่างสมบูรณ์หรือ ไม่? –ใช่- พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเราให้รอดจากความ ผิดบาปทั้งหมดของเราอย่างสมบูรณ์ ถ้าเราเชื่อพระเยซูด้วยหัวใจของเราแล้วเราจะยังคงมีบาปอยู่ไหม? –ไม่มี- แม้เราอาจจะเป็นผู้ไม่มีความชอบธรรมอย่างไรก็ตามเราจะไม่มีบาป
พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “อีกประการหนึ่ง ท่านทั้งหลายได้ยินว่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า ‘อย่าเสียคำสัตย์ปฏิญาณ แต่จงปฏิบัติตามคำสัตย์ปฏิญาณของท่านต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า’ ฝ่ายเราบอกท่านทั้ง หลายว่า อย่าปฏิญาณเลย จะอ้างถึงสวรรค์ก็ดี เพราะสวรรค์เป็นบัลลังก์ของพระเจ้า หรือจะอ้างถึงแผ่น ดินโลกก็ดี เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ หรือจะอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็ดี เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ อย่าปฏิญาณโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะกระ ทำให้ผมขาวหรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้ จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดเกินนี้ไปมาจากความชั่ว” (มัทธิว 5:33-37) คำปฏิญาณนั้นก็คือบาปเพราะท่านไม่สามารถรักษาคำสัตย์ปฏิญาณได้ ดังนั้นไม่ควรให้ทั้งคำสัตย์และคำปฏิญาณ เพียงแค่เชื่อในพระวจนะของพระองค์แล้วท่านก็จะมีชีวิตดำรงอยู่ได้ ท่านเป็นผู้ชอบธรรมได้หากท่านเชื่อในความชอบธรรมของพระองค์และพระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยท่านหากท่านวางใจในพระองค์
มีภาพลวงตามากมาย เรามีเกณฑ์ของเนื้อหนังและวินิจฉัยตามเนื้อหนังเพราะว่าเรามีเนื้อหนัง ดังนั้นจึงมีการวินิจฉัยภายในตัวเองผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า มีผู้วินิจฉัยสองแบบในตัวของเราเอง หนึ่งก็คือตัวเราเองและอีกหนึ่งก็คือพระเยซู ทั้งสองต่างก็พยายามที่จะเข้าครอบครองเรา เราตั้งใจที่จะสร้างกฎของเนื้อหนังขึ้นมาและวินิจฉัยด้วยกฎนี้เพราะเรามีเนื้อหนัง เนื้อหนังบอกกับเราว่า “ท่านยังเป็นคนดีแม้ว่าท่านยังคงทำบาป ฉันจะรับรองให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแม้ว่าเนื้อหนังของท่านไม่ได้ชอบธรรม 100%ก็ตาม” การวินิจฉัยของเนื้อหนังมักให้คะแนนดีแก่ท่าน
อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยของความชอบธรรมของพระเจ้าต้อง การให้เราเป็นผู้ชอบธรรม 100% พระองค์ทรงสักดิ์สิทธิ์ เราเป็นผู้ชอบธรรมได้เพียงเมื่อเราได้รับการยกความผิดบาปด้วยความเชื่อ ดังนั้นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ก็เข้าถึงความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจึงมีชีวิตดำรงอยู่อย่างแท้จริง พวกเขาได้รับพระพรด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความชอบธรรม สิ่งนี้จึงหมายความว่าผู้ที่ไม่เชื่อและผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยเนื้อหนังไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผมกำลังบอกกับท่านในภาพเล็กๆเท่านั้น ผมบอกกับท่านและอธิบายความหมายในรายละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับเราต้มกระดูกนานๆจนกระทั่งน้ำซุปเป็นสีขาวนั่นเอง
 
 
เราต้องการความเชื่อ
 
การมีความรู้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นสำคัญมาก แต่การที่เราเชื่อในพระคัมภีร์มากเท่าใดก็สำคัญยิ่งกว่า บางคนเชื่อในการสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้าตามพระคัมภีร์เท่านั้นบางคนเชื่อทั้งการสร้างสวรรค์และโลกของพระเจ้าและเชื่อว่าพระเยซูทรงชำระบาปดังเดิมเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าบาปแต่ละวันของตนนั้นควรจะชำระทุกๆวัน พวกเขาสร้างการวินิจฉัยของตัวเองตามกฏของเนื้อหนัง เราเชื่อมากน้อยเพียง ใด? คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่โดยความเชื่อ การเป็นผู้ชอบธรรมและการมีชีวิตดำรงอยู่นั้นเป็นได้โดยความเชื่อเพียงเท่านั้น เราต้องการความเชื่อในพระเจ้าจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสุดท้าย
แล้วท่านเชื่อมากน้อยเพียงใด? ท่านวัดตัวท่านเองตามความพอ ใจของท่าน โดยถูกความคิดทางเนื้อหนังเข้ายึดครองท่าน ท่านคิดไหมว่า ‘ฉันดีทีเดียวหล่ะ เนื้อหนังของฉันก็ดี’ หรือคิดว่า ‘ฉันอ่อนแอเกินไปที่จะเชื่อในพระเจ้า?’ ท่านได้ให้คะแนนตัวของท่านเองว่า วันนี้ให้คะแนนตัวเอง 80% วันถัดไป 90% แต่ให้ 5%ในวันที่แน่นอน แล้วคิดว่า “มันจะดีกว่าหากฉันไม่ได้เกิดมา” ท่านคิดเช่นนั้นไหม? –ใช่- ผมก็คิดเช่นนั้น
บางครั้งผู้เขียนก็จริงจังเช่นนั้น แม้ว่าเมื่อผู้เขียนได้ปลดปล่อยตัวของผู้เขียนเอง ผมผู้เขียนคิดว่า “มันคงดีกว่าหากผมไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและไม่รู้จักพระองค์ มันดูยากขึ้นในการที่นำชีวิตของความศรัทธาให้ดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ มันดูน่ากลัวขึ้นจนเดี๋ยวนี้ ผมตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากในการมองดูอนาคตและระลึกเหตุการณ์ในอดีต ผมนำชีวิตให้ดำ รงอยู่ในความเชื่อได้อย่างน่ายกย่องในบางครั้งจนตอนนี้ แต่พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะร่วมเดินไปกับพระองค์ได้ดีเลย ตั้งแต่ที่ข้าพระองค์ได้รู้จักพระองค์ ข้าพระองค์ช่างทำบาปได้โดยง่ายอะไรเช่นนี้ มีความคิดและเกณฑ์ต่างๆมากมายออกมาจากข้าพระองค์ตั้ง แต่ที่ข้าพระ องค์ได้รู้จักพระองค์ ข้าพระองค์แทบจะไม่เชื่อฟังพระองค์เลย พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง ตอนนี้ ข้าพระองค์ไม่มีความมั่นใจที่จะเชื่อฟังพระองค์อีกต่อไปแล้ว ทำไม? เพราะข้าพระองค์รู้ว่าพระเจ้าทรงศักดิ์สิทธิ์และสมบูรณ์ อาห์! พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่สามารถเชื่อฟังพระองค์ได้อีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์ไม่มีความมั่นใจเลย”
ดังนั้น พระเจ้าทรงบอกให้เรามีชีวิตดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ เพราะว่าพระองค์ทรงรู้จักเราอย่างดี พระองค์ตรัสว่า “ท่านจะต้องรักษาความชอบธรรมและรักษาพระพรด้วยความเชื่อ บาปทั้งหมดของท่านจะผ่านไปสู่พระเยซู คริสต์ โดยพิธีบัพติศมาของพระองค์ ท่านมักจะทำบาปเมื่อท่านสะท้อนเนื้อหนังของตัวเองกับพระบัญญัติ ดังนั้นยอมรับว่าท่านได้ทำบาป ผู้ช่วยให้รอดของท่านได้นำเอาความ ผิดบาปทั้งหมดของท่านไปหรือไม่? – ใช่พระองค์ทรงทำ- บาปทั้งหมดของท่านได้ผ่านไปสู่ท่านผู้ช่วยให้รอดหรือไม่? –ใช่- แล้วท่านมีบาปไหม? –ไม่มี- พระผู้เป็นเจ้าช่วยท่านให้รอดหรือไม่? –ใช่- “แล้ววันที่มีเมฆหมอกและวันที่มืดคลึ้มก็จะเปลี่ยนไปสู่วันที่สว่างสดใสเหมือนกับคำในบทเพลงสวดสรรเสริญว่า “วันนี้มีแสงสว่างส่องในจิตวิญญาณของฉัน”
 
 

เราเป็นคนบาปอีกครั้งไม่ได้แล้ว

 
เมื่อเราคิดถึงอนาคตมันก็ดูเหมือนจะมีความหวังอยู่น้อยเต็มที แต่เมื่อเรามองดูพระผู้เป็นเจ้าด้วยความเชื่อมันก็มีแสงสว่าง ดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ท่านเชื่อไหม? –เชื่อ- เรารอดด้วยความเชื่อและดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ เราเชื่อในผู้ใด? เราเชื่อในพระเจ้า มีเพียงคนชอบธรรมเท่านั้นที่มีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อได้ ท่านเชื่อไหม? –เชื่อ- ท่านสามารถรักษาความชอบธรรมของพระเจ้าด้วยการฝึกเนื้อหนังอย่างดีได้ไหม? –ไม่ได้- ความชอบธรรมของพระเจ้าไม่มีประโยชน์เมื่อเนื้อหนังกระทำชั่วใช่ไหม? เราเป็นผู้มีบาปอีกครั้งไหม? –ไม่-
อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ในกาลาเทีย 2:18ว่า “เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าก่อสิ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รื้อทำลายลงแล้วขึ้นมาอีก ข้าพเจ้าก็ส่อตัวเองว่าเป็นผู้ละเมิด” ผู้ที่เชื่อว่าบาปทั้งหมดของเขาหรือเธอได้โอนไปสู่พระเยซู คริสต์โดยพิธีบัพติศมา และพระองค์ทรงรับการพิพากษาบนไม้กางเขนเพื่อความผิดบาปของเขาหรือเธอนั้น ก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นคนบาปอีก ผู้ที่ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระเยซูเสด็จมาสังเวยบาปเพียงครั้งหนึ่งและไม่มีบาปเนื่องจากบาปของเขาหรือเธอได้ผ่านไปสู่พระองค์ และเขาหรือเธอก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นคนบาปอีก ท่านเข้าใจไหม? –เข้าใจ-
พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาทรงช่วยเราให้รอด พระเจ้าทรงช่วยเราเสมอและทรงอยู่กับเราจนสิ้นโลก นี่จึงเป็นเหตุผลที่พระองค์ตรัสว่า “มีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ เราจะช่วยท่านหากท่านเชื่อเรา ทูตสวรรค์จะดูแลท่านผู้ที่เกิดใหม่” ทูตสวรรค์เป็นคนรับใช้ระหว่างพระเจ้ากับเรา พวกเขาทูลพระผู้เป็นเจ้าในทุกสิ่งเกี่ยวกับเรา พระเจ้าทรงทำให้เราเป็นบุตรของพระองค์ เราเป็นคนบาปโดยธรรมชาติ เราเป็นผู้ชอบธรรมไม่ได้โดยการกระทำของเนื้อหนัง แต่เราเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยความเชื่อ
เราขอขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเป็นผู้ดูแลเราและเป็นพระบิดาเราด้วยความเชื่อ