( วิวรณ์ 1:1-20)
ผู้เขียนขอขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงประทานความหวังในยุคมืดให้แก่เรา ความหวังของเราก็คือทุกสิ่งที่จะเปิดเผยตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือวิวรณ์ และรอคอยในความเชื่อที่พระวจนะของการทำนายที่จะสมบูรณ์
ตามที่ได้มีการเขียนหนังสือของวิวรณ์ไว้ ในขณะที่มีหลายทฤษฏีและการตีความหมายโดยนักวิชาการมากมาย แต่ก็ยังยากที่จะเข้าใกล้ตามหลักพระคัมภีร์อยู่ดี มันจึงเป็นเพียงพระกรุณาของพระเจ้าเพียงเท่านั้นที่ผู้เขียนได้ใช้เวลามากอย่างนับไม่ถ้วนในการศึกษาและวิจัยในโลกของวิวรณ์จนทำให้ผู้เขียนสามารถเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาได้ ซึ่งตอนนี้ผู้เขียนก็พูดได้ว่าหัวใจของผู้เขียนเองนั้นสมบูรณ์ด้วยความจริงของวิวรณ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทำให้ผู้เขียนสมบูรณ์เช่นกันในขณะที่ผู้เขียนจัดเตรียมคำบรรยาpและคำสอนสำหรับหนังสือเล่มนี้
แล้วมันก็น่าประหลาดใจเล็กน้อยที่หัวใจของผู้เขียนเต็มไปด้วยความหวังอย่างท่วมท้นสำหรับสวรรค์และพระสิริของอาณาจักรพันปี ผู้เขียนก็ได้มาตระหนักเช่นกันถึงความทนทุกข์ยากของเหล่าวิสุทธิชนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ตอนนี้ผู้เขียนพร้อมแล้วที่จะแบ่งปันพระวจนะของสติปัญญาที่พระเจ้าทรงแสดงให้ผู้เขียนได้เห็นให้แก่ท่าน และช่วยให้ท่านได้เข้าใจมัน
หัวใจของผู้เขียนนั้นเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆในตอนที่เขียนหนังสือวิวรณ์เล่มนี้ พูดกันตรงๆแล้วผู้เขียนไม่ได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าพระวจนะของวิวรณ์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด
พระเจ้าทรงแสดงให้ยอห์นเห็นถึงพระวจนะของพระเยซู คริสต์ อะไรคือความหมายของคำว่า “วิวรณ์ของพระเยซู คริสต์?” คำจำกัดความในดิกชันนารีของคำว่าวิวรณ์ ก็คือการกระทำการเปิดเผยให้รู้หรือการสื่อสารการทำนายความจริง วิวรณ์ของพระเยซู คริสต์จึงหมายถึงการเปิดเผยให้รู้ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในพระเยซู คริสต์ พระเจ้าทรงแสดงให้ยอห์นซึ่งเป็นคนรับใช้ของพระเยซู คริสต์ได้เห็นในทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะผ่านเข้ามาในช่วงสุดท้าย
มีสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องมั่นใจล่วงหน้า ก่อนที่เราจะค้นหาพระวจนะของวิวรณ์ ก็คือ เราจะต้องค้นหาให้แน่ใจก่อนว่าพระวจนะของคำทำนายที่ได้เขียนของวิวรณ์นั้นเป็นสัญลักษณ์หรือข้อเท็จจริง ทั้งหมดที่ได้เขียนในหนังสือของวิวรณ์นั้นเป็นข้อเท็จจริงอย่างแน่นอน เนื่องจากมุมมองที่ยอห์นเห็นพระเจ้านั้นได้เปิดเผยให้เราเห็นในรายละเอียดของสิ่งที่กำลังจะผ่านเข้ามาในโลกนี้
มันเป็นความจริงที่ว่านักวิชาการหลายท่านได้สนับสนุนทฤษฎีต่างๆและตีความหมายคำทำนายของวิวรณ์ที่แตกต่างกันไป มันก็เป็นความจริงเช่นเดียวกันที่ว่าความพยายามของเหล่านักวิชาการเหล่านี้ได้เปิดเผยความจริงของวิวรณ์ด้วยสุดกำลังความสามารถของพวกเขา แต่การตั้งสมมุติฐานเช่นนั้นได้ก่อให้เกิดอันตรายแก่โลกคริสต์ศาสนา เพราะพวกเขามิได้ปรับความจริงของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลให้เข้ากันและจึงนำให้เกิดความสับสน ตัวอย่างเช่น นักวิชาการหัวเก่าหลายท่านได้สนับสนุนคำที่เรียกไม่ถูกต้องที่ว่า ‘อมิลเลนเนียมลิซึ่ม’ โดยอ้างว่าไม่มีอาณาจักรพันปี แต่ความเห็นเช่นนั้นห่างไกลจากความจริงตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาก
อาณาจักรพันปีนั้นได้ถูกบันทึกเอาไว้อย่างแท้จริงในวิวรณ์ บทที่ 20 โดยได้เขียนเอาไว้ว่าไม่เพียงแต่วิสุทธิชนเท่านั้นที่จะเข้าครอบครองอาณาจักรนี้แต่จะดำรงชีวิตร่วมกับพระคริสต์เป็นพันปี อีกนัยหนึ่ง บทที่ 21 บอกกับเราว่าหลังจากอาณาจักรพันปีแล้ว เหล่าวิสุทธิชนจะรับช่วงฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่และดำรงชีวิตและเข้าครอบครองร่วมกับพระคริสต์อย่างเป็นนิรันดร์ ทั้งหมดนี้คือความจริง พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกกับเราว่าความจริงทั้งหมดนี้จะไม่ใช่การตระหนักถึงการสำเร็จอย่างเป็นสัญลักษณ์ในหัวใจของผู้ที่เชื่อ แต่เป็นความสำเร็จโดยความจริงในประวัติศาสตร์
แต่ลองมามองดูคริสตศาสนาในปัจจุบันนี้ เราพบว่าหลายๆคนมีความหวังเล็กน้อยในอาณาจักรพันปี หากพวกเขากล่าวอ้างไม่ยอมรับความจริง สิ่งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคำสัญญาของพระเจ้าต่อผู้ที่เชื่อจะเป็นเพียงคำพูดว่างเปล่าหรือ? หากไม่มีอาณาจักรพันปีรอผู้ที่เชื่ออยู่ และไม่มีทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่แล้ว ความเชื่อของคนทั้งหลายเหล่านี้ที่รอดโดยความเชื่อในพระเยซูว่าเป็นผู้ทรงช่วยให้รอดจะไร้ประโยชน์ไปเลย
จากเรื่องคล้ายกันนี้นักทฤษฎีและบาทหลวงหลายคนในปัจจุบันนี้อ้างว่า เครื่องหมายของ 666 ที่ทำนายในวิวรณ์ว่าเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เมื่อวันของความสำเร็จของคำทำนายมาถึง ความเชื่อของเหล่าจิตวิญญาณโชคร้ายผู้ที่เชื่อในการกล่าวอ้างผิดๆนั้นจะอัปปางลงเพียงครั้งเดียวเหมือนกับบ้านที่ก่อด้วยทราย
คนทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู แต่ไม่เชื่อในพระวจนะของความจริงที่เปิดเผยต่อพวกเขาในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ก็จะได้รับการดูแลจากพระเจ้าเช่นเดียวกันกับผู้ที่ไม่เชื่อนั่นเอง สิ่งนี้หมายความได้เพียงว่าพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้จักข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น แต่หมาย ความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงสถิตอยู่ในหัวใจของพวกเขาด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่หัวใจของพวกเขาไม่มีความหวังเพื่ออาณาจักรพันปี หรือเพื่อฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับเรา หากแม้พวกเขาเชื่อในพระเยซู พวกเขาก็ไม่เชื่อในพระองค์ตามความจริงที่ได้เขียนเอาไว้ของพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่ได้เขียนเอาไว้ในวิวรณ์ก็คือพระวจนะของพระเจ้าที่แสดงให้เราเห็นในสิ่งที่จะผ่านมายังโลกนี้อย่างแน่นอนและในเร็ววันนี้
วิวรณ์บทที่ 2 และ 3 ได้บันทึกพระวจนะของการตักเตือนไปสู่คริสตจักรทั้งเจ็ดในแคว้นเอเชีย ทั้งสองบทเราจะพบทั้งการยกย่องและการตักเตือนคริสตจักรทั้งเจ็ดของพระเจ้า พระเจ้าทรงสัญญาเป็นพิเศษว่าจะประทานมงกุฏแห่งชีวิตให้กับผู้ที่มุ่งมั่นในความเชื่อของตัวเองและเอาชนะเหนือความยาก ลำบากของตนได้ สิ่งนี้ก็หมายความว่าจะมีการทนทุกข์ยากรอคอยผู้ที่เชื่ออยู่ในช่วงเวลาสุดท้าย
พระวจนะของวิวรณ์จึงเกี่ยวข้องกับการทนทุกข์ยากของเหล่าวิสุทธิชน การกลับคืนชีพและการปลื้มปีติของพวกเขาและเกี่ยวกับคำสัญญาของอาณาจักรพันปีและฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ที่พระ เจ้าทรงสร้างให้กับพวกเขา พระวจนะของวิวรณ์สามารถเป็นสิ่งบรรเทาทุกและพระพรอันยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้ที่เชื่อในความแน่นอนของความทนทุกข์ยาก แต่มันก็มีข้อเสนอเล็กน้อยให้กับผู้ที่ไม่เชื่อ ดังนั้นเราจะดำรงชีวิตอยู่ได้ในความแน่นอนโดยการอดทนต่อความหนักแน่นของเราในความเชื่อในพระวจนะของคำสัญญาที่ได้เขียนไว้ในวิวรณ์และพระวจนะของความจริงในช่วงเวลาสุดท้าย
หัวข้อปฏิบัติที่สำคัญของพระวจนะของวิวรณ์ก็คือการทนทุกข์ยาก การเป็นขึ้นมาจากความตาย และการปลิ้มปีติชองเหล่าวิสุทธิชน และอาณาจักรสวรรค์พันปีและฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ นี่จึงเป็นเหตุผลและพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคริสตจักรยุคแรกที่มีเหล่าวิสุทธิชนที่ปกป้องความเชื่อของพวกเขาไม่ให้จบลงด้วยความทนทุกข์ยากของพวกเขา มันเป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงวางแผนทั้ง หมดนี้เอาไว้ว่า พระองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับความทนทุกข์ยากไว้กับเหล่าวิสุทธิชนทั้งหมด อีกนัยหนึ่งพระเจ้าทรงบอกกับเราว่าเหล่าวิสุทธิชนทั้งหมด จะเอาชนะเหนือยุคปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ได้ผ่านความทนทุกข์ยากของพวกเขาในช่วงเวลาสุดท้าย
ความเข้าใจอย่างครบถ้วนของบทที่ 1–6 ก็คือภาวะการเข้าใจหนังสือวิวรณ์ทั้งหมด สามารถบรรยาย บทที่ 1 ได้ว่าเป็นบทนำ ในขณะที่ บทที่ 2 และ 3 กล่าวถึงความทนทุกข์ยากของวิสุทธิชนในคริสตจักรยุคแรกๆ บทที่ 4 บอกกับเราถึงการประทับอยู่ของพระคริสต์บนบัลลังค์ของพระเจ้า บทที่ 5 บอกกับเราถึงการเปิดรายการของแผนการของพระบิดาของพระเยซู คริสต์และการทำให้สำเร็จ และบทที่ 6 ก็ได้อภิปรายถึงกลียุค 7 ปีที่พระเจ้าทรงจัดตั้งขึ้นเพื่อมนุษยชาติ ความทำความเข้าใจในบทที่ 6 จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นการเปิดประตูความเข้าใจของวิวรณ์ทั้งหมดสำหรับท่าน
บทที่ 6 อาจจะอธิบายว่าเป็นดุจพิมพ์เขียวสำหรับกลียุค 7 ปี ที่พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาได้ทรงวางแผนเอาไว้สำหรับมนุษยชาติในพระเยซู คริสต์ในแบบพิมพ์เขียวของพระเจ้าก็พบกับข้อกำหนดของ พระเจ้าสำหรับกลียุค 7 ปีที่พระเจ้าทรงนำมาให้กับมวลมนุษย์ เมื่อเราได้มารู้จักและเข้าใจว่ากลียุค 7 ปี คืออะไรเราก็จะสามารถตระหนักได้ว่าความเชื่อชนิดใดที่จำเป็นสำหรับเราในการพยายามต่อต้านเอา ชนะเหนือยุคของม้าสีกะเลียว ยุคปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ก็มาถึง
ตามที่ได้บรรยายเอาไว้ในบทที่ 6 เมื่อแกะตราดวงที่หนึ่งออก ก็มีม้าขาวตัวหนึ่งออกมา ผู้ขี่ม้าถือธนูและได้รับมงกุฎและผู้นั้นก็ออกไปอย่างมีชัย เพื่อได้ชัยชนะ ผู้ขี่ม้าขาวก็อ้างถึงพระเยซู คริสต์ ใน ขณะที่ความจริงที่พระองค์ทรงถือธนูก็หมายความว่าพระองค์จะทรงต่อสู้และมีชัยชนะซาตานต่อไป ยุคของม้าขาวก็อ้างถึงยุคของชัยชนะของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระเจ้าทรงยอมให้เกิดบนโลกนี้ และยุคนี้จะยังคงอยู่ต่อไปจนกระทั่งพระประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์
ยุคที่สองก็คือยุคของม้าสีแดง นี่ก็ได้อ้างไปถึงของยุคของซาตานที่จะเข้ามาหลอกลวงหัวใจของผู้คนไปสู่ค่าจ้างของสงคราม โดยนำสันติสุขออกไปจากแผ่นดินโลกและให้คนทั้งปวงรบราฆ่าฟันกัน
หลังจากยุคของม้าสีแดงก็จะเป็นยุคของม้าดำเมื่อภาวะข้าวยากหมากแพงได้เข้าโจมตีทางจิตวิญ ญาณและทางกายของผู้คน ในตอนนี้ท่านและผู้เขียนก็กำลังดำรงชีวิตอยู่ในยุคของภาวะข้าวยากหมากแพงทั้งทางจิตวิญญาณและทางกายนี้ เมื่อยุคต่อมาเป็นยุคของม้าสีกะเลียวที่ใกล้เข้ามาในเร็วๆนี้แล้ว ยุคปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ก็จะเกิดขึ้น และการเกิดขึ้นนี้ก็จะทำให้โลกตกไปสู่เหตุการณ์ที่เลวร้าย
ยุคของม้าสีกะเลียวเป็นยุคที่สี่ ในยุคนี้ โลกเราจะเดือดร้อนกับโรคระบาดของแตรทั้งเจ็ด ที่ที่ต้นไม้หนึ่งในสามของโลกใหม้ หนึ่งในสามของทะเลได้กลายเป็นสีเลือด หนึ่งในสามของน้ำก็กลาย เป็นสีเลือด และหนึ่งในสามของของดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายก็มืดไป
ยุคที่ห้าเป็นยุคของการเป็นขึ้นมาจากความตายและความปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชน ตามที่ ได้บันทึกเอาไว้ใน วิวรณ์ 6:9-10 “เมื่อพระองค์ทรงแกะตราดวงที่ห้านั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็แลเห็นดวงวิญ ญาณใต้แท่นบูชา เป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระวจนะของพระเจ้า และเพราะ คำ พยานที่เขายึดถือนั้นเขาเหล่านั้นร้องเสียงดังว่า’โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้บริสุทธิ์และสัตย์จริงอีก นานเท่าใดพระองค์จึงจะทรงพิพากษา และตอบสนองให้เลือดของเราต่อคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก”
ยุคที่ 6 เป็นยุคของการทำลายของโลกที่หนึ่ง ตามวิวรณ์ 6:12-17 “เมื่อพระองค์ทรงแกะตรา ดวงที่หกนั้นแล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าก็ได้เห็นแผ่นดินไหวใหญ่โต ดวงอาทิตย์ก็กลายเป็นมืดดำดุจผ้ากระสอบ ขนสัตว์ และดวงจันทร์ก็กลายเป็นสีเลือด และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงบนแผ่นดิน เหมือนต้น มะเดื่ออันหวั่นไหวด้วยลมกล้าจนทำให้ผลหล่นลงไม่ทันสุกท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่เขา
ม้วนขึ้นไปหมด และภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็เลื่อนไปจากที่เดิม แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวก คนใหญ่คนโต เศรษฐี นายทหารใหญ่ ผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสและเป็นอิสระ ก็ซ่อนตัวอยู่ใน ถ้ำและโขดหินตามภูเขา พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า ‘จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ให้พ้น จากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และให้พ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดกนั้น เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และผู้ใดจะทนอยู่ได้เล่า’”
จากนั้น อะไรจะเกิดขึ้นในยุคที่เจ็ดที่พระเจ้าทรงจัดตั้งขึ้นเพื่อพวกเรา? ในยุคสุดท้ายนี้ พระเจ้า ทรงประทานอาณาจักรพันปีและฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ให้กับเหล่าวิสุทธิชนทั้งหลาย
แล้วตอนนี้เรามีชีวิตอยู่ในหมู่กลียุค 7 ปีนี้หรือไม่? เรากำลังจะผ่านยุคของม้าสีแดงไปในช่วงที่โลกกำลังถูกทำลายล้างจากสงครามหลายครั้งและเราก็กำลังมีชีวิตอยู่ในยุคของม้าสีดำ
พระวจนะทั้งหมดของวิวรณ์ที่ได้เขียนเอาไว้ไม่ได้เป็นจิตวิญญาณทางลบ แต่เป็นทางบวกให้กับผู้ที่เชื่อทุกคน พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่มีพระประสงค์ที่จะประทานความหวังสุดท้ายในอาณาจักรพัน ปีของพระองค์ให้ผู้ที่เชื่อเท่านั้น แต่พระองค์ไม่ทรงละทิ้งพวกเขาให้เหมือนกับเป็นเด็กกำพร้าในโลกนี้
อย่างไรก็ตามการมาตระหนักถึงความจริงที่ได้เปิดเผยในวิวรณ์ ต้องละทิ้งคำสอนผิดๆในทฤษฎีของยุคก่อนและหลังของความยากลำบาก อมิลเลนเนียมลิซึ่มก่อนและก็กลับไปสู่พระคริสตธรรมคัมภีร์
พระเจ้าทรงจัดตั้งกลียุค 7 ปีสำหรับพวกเราในพระเยซู คริสต์ กลียุค 7 ปีนี้ได้เป็นแผนการของพระเจ้าเพื่อเหล่าวิสุทธิชนในพระเยซู คริสต์ในตอนเริ่มแรกของการสร้างสรรพสิ่งของพระองค์ เนื่อง จากนักวิชาการทั้งหลายยังคงเพิกเฉยต่อกลียุค 7 ปีที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้นนี้ ได้ทำการนำเสนอแต่เพียงการตีความและสมมุติฐานที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นจริงในพระวจนะของวิวรณ์ ก็ทำให้ผู้คนเกิดความสับ สนมากขึ้น แต่เราจะต้องมาตระหนักถึงกลียุค 7 ปีที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้นนี้ มีความรู้และความเชื่อในความจริงนี้ ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรา ทุกแผนการของพระเจ้าเพื่อเหล่าวิสุทธิชนนั้นได้ถูกตั้งขึ้นและเสร็จสมบูรณ์ภายในช่วงเวลาของกลียุค 7 ปีนี้
ผู้เขียนจึงหวังว่าการอภิปรายของผู้เขียนจะให้ความเข้าใจเบื้องต้นของการเกริ่นนำข้อความไปสู่วิวรณ์ได้ เราพบว่าการสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้าได้ให้ความชัดเจนแก่จุดเริ่มต้นของกลียุค 7 ปีที่พระ องค์ทรงตั้งในพระเยซู คริสต์พร้อมกับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณผ่านหนังสือวิวรณ์ ความเชื่อของเราก็จะหนักแน่นขึ้นจากการรู้จักกลียุค 7 ปี และเราก็จะมาตระหนักว่าการทดสอบแบบไหนที่รอคอยเราอยู่ในขณะที่เราดำรงชีวิตอยู่ในยุคของม้าสีดำ และด้วยการตระหนักในสิ่งนี้เราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยความเชื่อ
ผู้ที่เชื่อรวมทั้งตัวท่านเองและตัวผู้เขียนด้วยจะต้องทนทุกข์ยากเมื่อยุคของม้าสีกะเลียวได้มาถึงดุจเป็นหนึ่งในกลียุค 7ปีที่พระเจ้าทรงวางแผนเอาไว้ เมื่อผู้ที่เชื่อได้ตระหนักในสิ่งนี้ หัวใจของพวกเขาทั้งหลายก็จะเต็มไปด้วยความหวัง และดวงตาของพวกเขาก็จะได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถมอง เห็นได้มาก่อน เมื่อคนรับใช้และเหล่าวิสุทธิชนของพระเจ้าได้ตระหนักถึงยุคของการทนทุกข์ยากที่ใกล้จะเกิดขึ้น การดำรงชีวิตของพวกเขาก็จะปราศจากเศษขยะ ในทันทีที่พวกเขาได้ตระหนักว่าพวกเขาถูกจัดให้ต้องประสบกับยุคของการทนทุกข์ยากของม้าสีกะเลียวแล้ว หัวใจของพวกเขาก็จะถูกจัดเตรียมแม้แต่ตอนนี้หัวใจของพวกเขายังไม่ได้ตระหนักก็ตาม
เราจะต้องทนทุกข์ยากในแบบเดียวกันกับที่เหล่าวิสุทธิชนในคริสตจักรยุคต้นๆได้ประสบมาก่อน ท่านจะต้องตระหนักว่าเมื่อยุคของม้าสีกะเลียวมาถึง การทนทุกข์ยากก็จะมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้อย่างแท้จริงสำหรับผู้ที่เชื่อที่แท้จริง และการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพวกเขาก็จะตามมาโดยทันทีหลังจากการทนทุกข์ยาก
การฟื้นขึ้นมาจากความตายก็จะมาหลังจากยุคของการทนทุกข์ยาก และด้วยปลื้มปีติของการฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติ ก็จะทำให้เราได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ พระผู้เป็นเจ้า ของเราจะทรงปลุกเหล่าวิสุทธิให้ฟื้นขึ้นมาจากความตายและนำพวกเขาขึ้นไปสู่ความปลื้มปีติในสวรรค์หลังจากการทนทุกข์ยากของเหล่าวิสุทธิชน
ในช่วงเวลาแห่งความปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนที่มาถึง โลกก็จะถูกทำลายทั้งหมดไม่สามารถอยู่อาศัยได้จริงๆ หนึ่งในสามของป่าจะถูกเผาไหม้ ทะเล แม่น้ำ และแม้แต่น้ำพุธรรมชาติก็จะกลายเป็นสีเลือด ท่านต้องการมีชีวิตอยู่ในโลกเช่นนั้นนานกว่าที่ท่านต้องการอยู่อย่างแน่นอนหรือ? เหล่าวิสุทธิชนมีเหตุผลมากขึ้นในการเข้าร่วมในการทนทุกข์ยาก พวกเขาจะไม่มีความหวังอีกต่อไปสำหรับโลกนี้
ท่านอยากจะอยู่ในโลกรกร้าง ที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวหรือ? ไม่อย่างแน่นอน ในช่วงเวลาสุดท้ายคือการทนทุกข์ยากของเหล่าวิสุทธิชนและหลังจากการฟื้นขึ้นมาจากความตายและความปลื้มปีติของพวกเขาแล้ว ก็จะเป็นสง่าราศีของการมีชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระเจ้าในอาณาจักรพันปีและฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่
พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกกับเราว่าหลังจากจุดกึ่งกลางของความทุกขฺลำบากใหญ่ยิ่งแล้ว นั่นก็คือช่วงสามปีครึ่งก่อนเข้าสู่ช่วงปีที่ 7 เหล่าวิสุทธิชนจะทนทุกข์ยากสำหรับการยืนหยัดต่อสู้กับยุคปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ด้วยความเชื่อของพวกเขา จากนั้นการฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติและการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ก็จะมาถึง อีกนัยหนึ่งการกลับมาของพระคริสต์และการฟื้นขึ้นมาจากความตายและความปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนจะเกิดขึ้นหลังการทนทุกข์ยากของพวกเขาในช่วงของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง ตอนนี้ถึงเวลาของท่านแล้วในการระมัดระวังในเรื่องนี้
เราจะทนทุกข์ยากไหม แม้ว่ายุคของม้าสีกะเลียวที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้นยังมาไม่ถึง? ไม่อย่างแน่ นอน แต่ตาม “ทฤษฎีของการปลื้มปีติก่อนความยากลำบาก” ก็ได้สอนว่าเหล่าวิสุทธิชนทั้งหมดจะรู้สึกปลื้มปีติโดยพระเจ้าก่อนจุดเริ่มต้นของความทุกขฺลำบากใหญ่ยิ่ง และสอนว่าไม่มีความทนทุกข์ยาก และไม่เชื่อว่ายุคของม้าสีกะเลียวมามาถึงเหล่าวิสุทธิชน
หาก “ทฤษฎีของการปลื้มปีติก่อนความยากลำบาก” นี้เป็นความจริง แล้วความทนทุกข์ยากของเหล่าวิสุทธิชนที่กล่าวไว้ในบทที่ 13 ของวิวรณ์หมายความว่าอะไร? มันได้กล่าวเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าเหล่าวิสุทธิชนจะต้องทนทุกข์ยากเพราะว่าพวกเขาไม่ยอมทำตามซาตาน ชื่อของพวกเขาได้เขียนเอา ไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเจ้า
คนทั้งหลายที่สอน “ทฤษฏีของการปลื้มปีติก่อนการทนทุกข์ยาก” ต่างก็ขาดความเข้าใจสมบูรณ์ในยุคของม้าสีกะเลียว, การทนทุกข์ยาก, การฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชน ตามสมมุติฐานนี้วิสุทธิชนจะยังคงอยู่บนโลกนี้จนกระทั่งแตรที่เจ็ดของภัยพิบัติดังขึ้น แต่วิวรณ์บอกเราว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนจะเกิดขึ้นเมื่อทูตสวรรค์องค์สุดท้ายเป่าแตรก่อน อีกนัยหนึ่งคือขันทั้เจ็ดของพระพิโรธของพระเจ้าถูกเทลงก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลที่วิวรณ์คือพระวจนะของความสบายและพระพรของผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ
“อมิลเลนเนียมลิซึม” จึงนำเพียงความผิดหวังและความสับสนมาสู่ผู้คน และมันก็ไม่ใช่ความจริง สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเข้าทรงสัญญากับเหล่าสาวกของพระองค์ก็คือเหล่าวิสุทธิชนจะได้รับรางวัลเป็นอำนาจในการครอบครองห้าหรือสิบเมืองที่จะมีขึ้นจริงๆในอาณาจักรพันปี
ท่านจะต้องจำไว้ว่าความคิดของสมมุติฐานเช่นนั้นเป็นเหมือนกับทฤษฎีความปลื้มปีติก่อนความยากลำบาก และหลังความยากลำบากทั้งหลาย และอมิลเลนเนียมลิซึมนั้นได้อ้างอย่างไม่มีเหตุผลที่ได้นำความคลางแคลงใจและความสับสนมาสู่ผู้ที่เชื่อทั้งหลาย
แล้วทำไมพระเจ้าประทานหนังสือวิวรณ์ให้กับพวกเรา? พระองค์ประทานพระวจนะของหนัง สือวิวรณ์ให้เราเพื่อแสดงให้เราเห็นข้อกำหนดของพระองค์ผ่านกลียุค 7 ปีและประทานให้แก่ผู้ที่มาเป็นสาวกของพระเยซูมีความหวังของสวรรค์ที่แท้จริง
สิ่งต่างๆเกิดขึ้นตามแผนการของพระเจ้าแม้แต่ตอนนี้ ยุคที่เรากำลังอยู่นี้เป็นยุคของม้าสีดำ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ ยุคม้าสีดำก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็วและยุคของม้าสีกะเลียวก็จะมาถึง และด้วยยุคของม้าสีกะเลียวนี้การทนทุกข์ยากของเหล่าวิสุทธิชนก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ในยุคนี้โลกทั้งโลกก็จะผสมผสานและรวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้อำนาจหนึ่งเดียวของปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ตอนนี้เหล่าสาวกของพระเยซูต้องเตรียมเผชิญหน้ากับความเชื่อในการใกล้จะเกิดขึ้นของยุคม้าสีกะเลียว