Search

Bài giảng

เรื่องที่ 10: วิวรณ์ (ข้อคิดเกี่ยวกับวิวรณ์)

[บทที่ 11-1] ใครคือต้นมะกอกเทศสองต้นและผู้พยากรณ์ทั้งสอง? (วิวรณ์ 11:1-19)

ใครคือต้นมะกอกเทศสองต้นและผู้พยากรณ์ทั้งสอง?
(วิวรณ์ 11:1-19)
“ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้เรียว และทูตสวรรค์องค์นั้นยืนอยู่กล่าวว่า ‘จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชา และคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัส การในนั้น แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบไว้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำเมืองบริสุทธิ์ลงใต้เท้าตลอดสี่สิบสองเดือน และเราจะให้ฤทธิ์อำนาจแก่พยานทั้งสองของเรา และเขาจะพยากรณ์ตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน นุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ พยานทั้งสองนั้นคือต้นมะกอกเทศสองต้น และคันประทีปสองคันที่ตั้งอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก ถ้าผู้ใดจะใคร่ทำร้ายพยานทั้งสองนั้น ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเขาเผาผลาญศัตรูผู้นั้น ถ้าผู้ใดจะทำร้ายพยานทั้งสอง ผู้นั้นก็จะต้องตายในลักษณะนี้ พยานทั้งสองมีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้ เพื่อไม่ให้ฝนตกในระหว่างวันเหล่านั้นที่เขากำลังพยากรณ์ และมีฤทธิ์อำนาจเหนือน้ำทำให้กลาย เป็นเลือดได้ และมีฤทธิ์บันดาลให้ภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลก กี่ครั้งก็ได้ตามความปรารถนาของเขา และเมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากเหวที่ไม่มีก้นเหวก็จะสู้รบกับเขา จะชนะเขาและจะฆ่าเขาเสีย และศพของเขาจะอยู่ที่ถนนในเมืองใหญ่นั้น ซึ่งตามฝ่ายจิตวิญญาณเรียกว่า เมือง โสโดมและอียิปต์ อันเป็นเมืองซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราถูกตรึงด้วย คนหลายชาติ หลายตระกูล หลายภาษา หลายประชาชาติจะเพ่งดูศพเขาตลอดสามวันครึ่ง และจะไม่ยอมให้เอาศพนั้นใส่อุโมงค์เลย คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินโลกจะยินดีเพราะเขา และจะสนุกสนานรื่นเริง จะให้ของขวัญแก่กัน เพราะว่าผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้ได้ทรมานคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในโลก’ เมื่อเวลาผ่านไปสามวันครึ่งแล้ว ลมปราณแห่งชีวิตจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขาอีก และเขาก็ลุกขึ้นยืน คนทั้ง หลายที่ได้เห็นเขาก็มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก คนทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์ ตรัสแก่เขาว่า ‘จงขึ้นมาที่นี่เถิด’ และพวกศัตรูก็เห็นเขาขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์ และในเวลานั้นก็เกิดแผ่น ดินไหวใหญ่ และเมืองนั้นก็ถล่มลงเสียหนึ่งในสิบส่วน มีคนตายเพราะแผ่นดินไหวเจ็ดพันคน และคนที่เหลืออยู่นั้นมีความหวาดกลัวยิ่ง และได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์ วิบัติอย่างที่สองก็ผ่านไปแล้ว ดูเถิด วิบัติอย่างที่สามก็จะมาถึงในไม่ช้านี้แหละ และทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดก็เป่าแตรขึ้น และมีเสียงหลายๆเสียงกล่าวขึ้นดังๆในสวรรค์ว่า ‘ราชอาณาจักรทั้งหลายแห่งพิภพนี้ได้กลับเป็นราชอาณาจักรทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์’ และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งในที่นั่งของตนเบื้อง พระพักตร์พระเจ้าก็ทรุดตัวลงกราบนมัสการพระเจ้า และทูลว่า 
‘โอ ข้าแต่พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด 
ผู้ทรงดำรงอยู่บัดนี้และผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน และผู้จะเสด็จมาใน อนาคต 
ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงใช้ฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์และได้ทรงครอบครอง
เหล่าประชาชาติมีความโกรธแค้น แต่พระพิโรธของพระองค์ก็มาถึงแล้ว
ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว 
และถึงเวลาที่พระองค์จะทรงประ ทานบำเหน็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือพวกศาสดาพยากรณ์ และวิสุทธิชนทั้งปวง 
และแก่คนทั้ง หลายที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ 
และถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงทำลายคนที่ทำลายแผ่นดินโลก’ 
แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก ในพระวิหารนั้นเห็นมีหีบพันธสัญญาของพระองค์ แล้วก็มีฟ้าแลบ และเสียงต่างๆ ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ลูกเห็บก็ตกอย่างหนัก.” 

พระวจนะของวิวรณ์ 11 นั้นมีความสำคัญกับเราเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด การลำลายโลกเป็นภาระกิจสำคัญที่พระเจ้าจำเป็นต้องทำล่วงหน้า นี่คือการเก็บเกี่ยวผู้คนชาวอิสราเอลสำหรับช่วงเวลาสุดท้าย พระเจ้าทรงมีอีกภาระกิจหนึ่งที่จะต้องกระทำเพื่อชาวอิสราเอลและพวกชนต่างชาติ และก็ทำให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติครั้งแรกโดยการทำให้พวกเราทนทุกข์ยาก. 
เราจะเป็นต้องค้นหาความรอดของการยกความผิดบาปของพระเจ้าว่าได้สมบูรณ์ในพันธสัญญาฉบับใหม่ตามที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้จัดเตรียมบัญชีทุกอย่างไว้ในประเด็นเหล่านี้ พระคัมภีร์กล่าวกับเราในหัวข้อนี้เพราะว่าหากเราไม่ตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิด เราก็จะรู้สึกสับสนเกี่ยวกับ เหล่าวิสุทธิชน, คนรับใช้ของพระเจ้า และผู้คนชาวอิสราเอลตามที่ปรากฎในหนังสือวิวรณ์. 
 


คำอธิบาย

 
วรรคที่ 1: ท่านผู้หนึ่งจึงเอาไม้อ้อท่อนหนึ่งให้ข้าพเจ้ารูปร่างเหมือนไม้เรียว และทูตสวรรค์องค์นั้นยืนอยู่กล่าวว่า “จงลุกขึ้นไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชา และคำนวณคนทั้งหลายซึ่งนมัสการในนั้น.” 
นี่บอกเราว่าพันธกิจในการช่วยชาวอิสราเอลจากบาปได้กำหนดให้เริ่มต้นที่จะ “วัด” ซึ่งก็หมายความว่าพระเจ้าจะทรงเข้ามาช่วยผู้คนชาวอิสราเอลออกจากความผิดบาปของพวกเขาในช่วง เวลาสุดท้าย. 
จากข้อความหลักของบทที่ 11 เราจะต้องให้ความสนใจของเรากับเรื่องความรอดจากบาปของชาวอิสราเอล พระวจนะนี้บอกกับเราว่าข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณจะเผยแพร่ไปสู่ผู้คนชาวอิสราเอลจากตอนนั้น หมายความว่าการเริ่มต้นของพันธกิจของพระเจ้าที่เปลี่ยนชาวอิสรา เอลไปเป็นคนของพระเจ้าเพื่อปลดปล่อยความผิดบาปทั้งหมดของพวกเขาผ่านพระคุณของความรอดที่พระเยซู คริสต์ประทานมาให้ พระเจ้าทรงบันทึกวิวรณ์ 11 เพื่อประทานการยกความผิดบาปของพระองค์ให้แก่ชาวอิสราเอลในช่วงเวลาสุดท้าย “การวัด” ในวรรคที่ 1 และ 2 ได้ตั้งขึ้นเป็นมาตรฐานสำหรับทุกสิ่ง วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการไปวัดพระวิหารของพระองค์ก็เพื่อค้นหาว่าหัวใจของพวกเขาได้รับความรอดแล้วหรือไม่ ซึ่งได้วางแผนเอาไว้แล้วเพื่อช่วยชาวอิสราเอล และถ้าหัวใจของพวกเขายังไม่พร้อม มันก็จะทำให้พวกเขาพร้อมเพื่อว่าหัวใจของพวกเขาจะได้ลุกขึ้น. 
 
วรรคที่ 2: “แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบไว้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำเมืองบริสุทธิ์ลงใต้เท้าตลอดสี่สิบสองเดือน.” 
พระเจ้าประทานพลังแก่ซาตานให้เหยียบย่ำคนต่างชาติเป็นเวลาถึงสามปีครึ่ง ดังนั้นพวกคนต่างชาติทั้งหมดจะต้องได้รับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ซึ่งเป็นพระวจนะของการไถ่บาปเข้าสู่หัวใจของพวกเขา โดยทันทีที่เป็นไปได้ภายในช่วงสามปีครึ่งแรกของช่วงเวลาเจ็ดปีของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง ประวัติศาสตร์ของโลกนี้จะสิ้นสุดจุดกลางของเมื่อความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งและเข้าช่วงเวลาอีกครึ่งที่เหลือเวลานั้นใกล้เข้ามาถึงในเร็ววันนี้แล้วเมื่อพวกคนต่างชาติถูกเหยียบย่ำจากซาตานและเหล่าวิสุทธิชนรอดจากความผิดบาปทั้งหมดของพวกเขาเช่นกัน. 
ดังนั้นคนต่างชาติจะต้องได้รับการยกความผิดบาปของพวกเขาและจัดเตรียมความเชื่อของการทนทุกข์ยากของตนก่อนสามปีครึ่งแรกของความทุกข์ลำบากจะผ่านพวกเขาไป ในตอนนี้เองชาวอิสราเอลจะทนทุกข์ทรมานภายใต้ความกลัวความทุกข์ลำบากในช่วงสามปีครึ่งแรก แต่ในเวลานี้พวกเขาจะยอมรับความจริงที่ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาเช่นเดียวกัน ในช่วงสุด ท้ายผู้คนชาวอิสราเอลจะได้รับความรอดจากความผิดบาปของตนในช่วงเวลาสามปีครึ่งแรกของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง เราจะต้องตระหนักว่าพระเจ้าจะทรงยอมให้ยกความผิดบาปแก่ชาวอิสรา เอลแม้ในช่วงเวลาของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง. 
 
วรรคที่ 3: “และเราจะให้ฤทธิ์อำนาจแก่พยานทั้งสองของเรา และเขาจะพยากรณ์ตลอดพันสองร้อยหกสิบวัน นุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ.” 
พระเจ้าจะทรงยกพยานทั้งสองขึ้นเป็นคนรับใช้ของพระองค์เพื่อชาวอิสราเอล พยานทั้งสองที่พระเจ้าจะทรงยกขึ้นเพื่อชาวอิสราเอลได้รับพลังอันยิ่งใหญ่เป็นสองเท่าเหมือนกับผู้พยากรณ์เก่า และพระเจ้าจะทรงเริ่มภาระกิจของพระองค์กับชาวอิสราเอล เพื่อให้พวกเขายอมรับพระเยซู คริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของตนผ่านพระวจนะของคำพยานของพวกเขา ชาวอิสราเอลหลายคนจะเป็นผู้ที่เกิดใหม่ของพระเจ้าโดยแท้จริงผ่านภาระกิจของผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้. 
พระเจ้าจะทรงทำให้ชาวอิสราเอลที่จะถูกผู้พยากรณ์ทั้งสองนำพวกเขากลับไปสู่พระคริสต์และเชื่อในพระองค์ว่าทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด โดยทรงส่งผู้พยากรณ์ทั้งสองมาในช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากความผิดบาปของพวกเขา ผู้พยากรณ์ทั้งสองจะจัดพระวจนะของพระเจ้าให้แก่ผู้คนชาวอิสราเอลเป็นเวลา 1,260 วันในช่วงเวลาของสามปีครึ่งแรกของความยากลำบากใหญ่ยิ่ง ด้วยการประทานข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณให้แก่ชาวอิสราเอลและทำให้พวกเขาเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงยอมให้ความรอดเช่นเดียวกันนี้ช่วยพวกคนต่างชาติของเวลาในพันธสัญญาฉบับใหม่ให้รอดจากความผิดบาปของพวกเขาผ่านความเชื่อ. 
 
วรรคที่ 4: พยานทั้งสองนั้นคือต้นมะกอกเทศสองต้น และคันประทีปสองคันที่ตั้งอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก. 
“ต้นมะกอกเทศสองต้น” ในที่นี้ก็หมายถึงผู้พยากรณ์ทั้งสองของพระเจ้า (วิวรณ์ 11:10) อีกนัยหนึ่ง “คันประทีปสองคัน” ก็หมายถึงคริสตจักรของพระเจ้าที่ทรงพบในหมู่คนต่างชาติ และเป็นคริสตจักรที่พระองค์ทรงอนุญาตให้แก่ผู้คนชาวอิสราเอล พระเจ้าทรงสร้างคริสตจักรของพระ องค์ให้กับทั้งพวกยิวและพวกคนต่างชาติ และพระองค์จะยังคงทำภาระกิจของการช่วยจิตวิญญาณทั้งหลายให้รอดจากความผิดบาปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายต่อไป.
พระเจ้าทรงบอกเราว่าเหมือนกับที่พระองค์ทรงยกผู้พยากรณ์ของพระองค์ในช่วงของพันธสัญญาฉบับเก่าขึ้นมาเพื่อช่วยชาวอิสราเอลจากความผิดบาปและทำงานผ่านผู้พยากรณ์เหล่านี้โดยการตรัสกับพวกเขาเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายมาถึงด้วย “ต้นมะกอกเทศสองต้น” และ “คันประทีปสองคัน” พระองค์ก็จะทรงยกผู้คนชาวอิสราเอลที่ผู้พยากรณ์ทั้งสองประกาศพระวจนะของพระองค์ขึ้น และนำชาวอิสราเอลไปสู่พระเยซูผ่านผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้. 
ชาวอิสราเอลเคยล้มเหลวในการไม่ฟังสิ่งที่คนรับใช้ของพระเจ้าผู้เคยเป็นพวกคนต่างชาติบอกกับพวกเขา พวกเขารู้จักทุกสิ่งเกี่ยวกับระบบการเสียสละและการพยากรณ์ของพันธสัญญาฉบับเก่า จึงจำเป็นต้องยกผู้พยากรณ์ในช่วงเวลาสุดท้ายของพระเจ้าขึ้นเหนือจากชาวอิสราเอล ชาวอิสราเอลนั้นเชี่ยวชาญในพระคัมภีร์เป็นอย่างดีโดยอาจจะท่องพระคัมภีร์ฉบับเก่าของพวกเขาได้ทั้งหมด นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่คนรับใช้ต่างชาติของพระเจ้ากล่าวกับพวกเขา.
แต่คนรับใช้ของพระเจ้าได้ฟังพระวจนะของน้ำและพระวิญญาณที่ท่านและผู้เขียนกำลังประกาศอยู่ตอนนี้จะลุกขึ้นจากผู้คนของพวกเขาเอง เมื่อผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณลุกขึ้นมาด้วยตัวเองและผู้พยากรณ์ทั้งสองที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้นจะอธิบายและประกาศพระวจนะของพระเจ้าไปสู่พวกเขา เพียงเท่านั้นชาวอิสราเอลก็จะเชื่อ.
ผู้คนชาวอิสราเอลจะทราบว่าพยานทั้งสองนี้เป็นผู้พยากรณ์ทั้งสองที่พระเจ้าทรงส่งและยกพวกเขาขึ้นมาด้วยพระองค์เองเพื่อช่วยพวกเขาให้รอดจากความผิดบาปในช่วงเวลาสุดท้าย ผู้พยา กรณ์เหล่านี้จะฝึกฤทธาของพวกเขาเหมือนกับคนรับใช้ของพระเจ้าในพันธสัญญาฉบับเก่าที่ชาวอิสราเอลเชื่อและรู้จักเป็นอย่างดีที่ได้ฝึกฝนมาก่อน ดังนั้นชาวอิสราเอลจะได้เห็นพลังอันน่าประ หลาดใจที่พยานทั้งสองได้กระทำโดยแท้จริง ผู้คนชาวอิสราเอลจะกลับไปสู่พระเยซู คริสต์และเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าจากสิ่งนี้เอง เมื่อพวกเขาได้ทราบว่าพระเยซู คริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด พวกเขาก็จะมีความเชื่อเช่นเดียวกับเรา เหมือนกับที่เราทำคือจะรอดโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ. 
พยานทั้งสองนี้จะอธิบายพระวจนะของพระเจ้าและจัดมันให้กับผู้คนชาวอิสราเอลเป็นเวลา 1,260 วันในช่วงเวลาเจ็ดปีของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง ท่านและผู้เขียนผู้เป็นคนต่างชาติของช่วง เวลาพันธสัญญาฉบับใหม่ได้รอดโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าจะทรงยอมให้ชาวอิสราเอลรอดในช่วงเวลาสุดท้ายโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณนี้เช่นเดียวกัน. 
วรรคที่ 4 บอกเราว่า “พยานทั้งสองนั้นคือต้นมะกอกเทศสองต้น และคันประทีปสองคันที่ตั้งอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก.” พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเรียกพยานทั้งสองนี้ว่า “ต้นมะกอกเทศสองต้น.” ต้นมะกอกเทศสองต้นนี้ก็หมายถึงผู้พยากรณ์ทั้งสองในช่วงเวลาสุดท้าย ในวรรคที่ 10 เขียนเอาไว้ว่า “คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินโลกจะยินดีเพราะเขา และจะสนุกสนานรื่นเริงจะให้ของขวัญแก่กัน เพราะว่าผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้ได้ทรมานคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในโลก.” เราจะต้องแก้ไขปัญหาของโลกนี้โดยการให้ความสนใจว่าค้นมะกอกเทศสองต้นนั้นคืออะไร. 
ต้นมะกอกเทศถูกใช้ในยุคของพันธสัญญาฉบับเก่าเพื่อตบแต่งสร้างความศักดิ์สิทธิ์ของปูชนียสถานและแท่นบูชาในพระวิหารของพระเจ้าโดยเจิมด้วยน้ำมัน น้ำมันมะกอกนี้ใช้ได้ทุกวัตถุ ประสงค์ อย่างเช่นใช้จุดไฟในพระวิหาร พวกเขาใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์เท่านั้นในพระวิหาร พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ใช้น้ำมันอื่นในพระวิหารของพระองค์ แต่พระองค์ทรงให้ใช้น้ำมันมะกอกเท่า นั้น ดังนั้นเราจะต้องทราบว่าต้นมะกอกเทศเป็นตัวแทนของชาวอิสราเอลเช่นเดียวกับต้นมะเดื่อ.
มีการตีความหมายต้นมะกอกเทศสองต้นและคันประทีปสองคันไว้มากมาย บางคนอ้างว่าพวกเขาเองเป็นต้นมะกอกเทศ แต่ต้นมะกอกเทศสองต้นนั้นหมายความถึงผู้ที่ถูกเจิมเท่านั้น ในช่วงเวลาพันธสัญญาฉบับเก่า ผู้คนได้รับการเจิมเมื่อพวกเขาถูกตั้งเป็นผู้พยากรณ์, กษัตริย์ หรือพระ ดัง นั้นเมื่อผู้ใดก็ตามถูกเจิม พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาอยู่กับเขาหรือเธอ อย่างเช่นต้นมะกอกเทศก็หมายถึงพระเยซู คริสต์ผู้ทรงถูกต่อกิ่งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (โรม 11:24) แต่ผู้คนมีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับจุดนี้. 
แต่ทว่า ต้นมะกอกสองต้นที่เป็นพยานทั้งสองที่ถูกกล่าวถึงในข้อความหลัก ซึ่งก็คือคนรับใช้ของพระเจ้าทั้งสองผู้ที่พระองค์จะทรง ยกขึ้นเป็นพิเศษในช่วงเวลาสุดท้ายเพื่อความรอดของชาวอิสราเอล. 
นี่คือสิ่งที่วรรคที่ 4 กำลังบอกเรา และคันประทีปสองคัน ณ ที่นี้ ก็หมายถึงคริสตจักรของพระเจ้าที่ทรงอนุญาตในหมู่คนต่างชาติ และคริสตจักรที่ทรงอนุญาตแก่ชาวอิสราเอล ในยุคของพันธสัญญาฉบับเก่านั้นชาวอิสราเอลได้มีคริสตจักรของพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ในยุคของพันธสัญญาฉบับใหม่นั้น พวกเขาไม่มีคริสตจักรของพระเจ้าอีกต่อไป ทำไม? ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักพระเยซู คริสต์ และไม่มีพระวิญญาณบิรสุทธิ์ในหัวใจของพวกเขาเช่นกัน. 
เราไม่พบคริสตจักรของพระเจ้าในพวกเขาอีกต่อไปเพราะพวกเขาไม่ยอมรับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณและไม่ยอมรับพระเยซู คริสต์ อย่างไรก็ตามก่อนจะสิ้นโลก ช่วงเวลาสามปีครึ่งแรกของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง พระเจ้าจะทรงยกคริสตจักรของพระองค์ให้แก่ชาวอิสราเอลเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกเราเกี่ยวต้นมะกอกเทศสองต้นผู้เป็นพยานทั้งสอง. 
พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งคริสตจักรของพระองค์และทำพันธกิจของการช่วยจิตวิญญาณของพวกยิวและคนต่างชาติให้รอดจากความผิดบาป พระองค์จะทรงทำให้พวกเขารับใช้ภาระกิจทางจิตวิญญาณของการช่วยจิตวิญญาณทั้งหลายให้รอดจากความผิดบาปจนปรากฎปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ขึ้นผ่านคริสตจักรเหล่านี้ นี่ก็หมายความว่าพระเจ้าจะทรงสร้างภาชนะออกมาจากเหล่าวิสุทธิชนที่เป็นสมาชิกของคริสตจักรของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาได้รับใช้ภาระกิจของการช่วยจิตวิญญาณทั้ง หลายที่หลงทางอยู่ในบาป ดังนั้นเราจะต้องนำเอาการบริการในความเชื่อที่เหลืออยู่ของเราออกมาใช้อย่างนุ่มนวล.
 
วรรคที่ 5: ถ้าผู้ใดจะใคร่ทำร้ายพยานทั้งสองนั้น ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเขาเผาผลาญศัตรูผู้นั้น ถ้าผู้ใดจะทำร้ายพยานทั้งสอง ผู้นั้นก็จะต้องตายในลักษณะนี้. 
พระเจ้าประทานพลังนี้มาให้แก่ผู้พยากรณ์ทั้งสองเพื่อว่าพวกเขาจะสามารถปฏิบัติภาระกิจพิเศษนี้สำเร็จ ในการทำให้ผู้คนชาวอิสราเอลกลับใจใหม่และเอาชนะซาตานในช่วงเวลาสุดท้ายพระเจ้าจึงทรงแสดงให้เราให้เห็นว่าใครก็ตามที่พยายามที่จะฆ่าพยานทั้งสองก็จะต้องตกอยู่ในอัน ตราย และแสดงให้เห็นว่าพลังของพระวจนะของพระองค์จะอยู่กับพยานทั้งสองคนนี้. 
ดังนั้นผู้คนชาวอิสราเอลที่เชื่อในการสอนของผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้จะกลับสู่พระคริสต์ นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงยอมให้ต้นมะกอกเทศสองต้นนั่นก็คือพยานทั้งสองมาหาชาวอิสราเอลเพื่อให้พวกเขารอดจากความผิดบาปของตนในช่วงเวลาสุดท้าย.
 
วรรคที่ 6: พยานทั้งสองมีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้ เพื่อไม่ให้ฝนตกในระหว่างวันเหล่านั้นที่เขากำลังพยากรณ์ และมีฤทธิ์อำนาจเหนือน้ำทำให้กลาย เป็นเลือดได้ และมีฤทธิ์บันดาลให้ภัยพิบัติต่างๆกระหน่ำโลก กี่ครั้งก็ได้ตามความปรารถนาของเขา. 
เพราะว่าผู้คนชาวอิสราเอลจะไม่กลับใจใหม่ ถ้าคนรับใช้ของพระเจ้าผู้ที่พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นมากระทำพลังเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงยอมให้พยานทั้งสองนี้ทำงานพร้อมกับฤทธาของพระองค์ ผู้พยากรณ์ทั้งสองจะนำชาวอิสราเอลไปสู่พระเยซู และจะเอาชนะศัตรูของพระเจ้าด้วยพลังและทำพันธกิจทั้งหมดของพวกเขาด้วยเช่นกัน พระเจ้าจะประทานพลังพิเศษให้พวกเขาเพื่อว่าพวกเขาจะประกาศพระวจนะของการพยากรณ์ให้แก่ชาวอิสราเอล เพื่อยืนยันว่าพระเยซู คริสต์ทรงเป็นพระเมสิอาห์ที่พวกเขารอคอยมานานแล้วและทำให้พวกเขาเชื่อ.
 
วรรคที่ 7: และเมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากเหวที่ไม่มีก้นเหวก็จะสู้รบกับเขา จะชนะเขาและจะฆ่าเขาเสีย. 
พระวจนะบอกเราว่าปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะปรากฏขึ้นบนโลกนี้ในช่วงสามปีครึ่งแรกของช่วงเวลาเจ็ดปีของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งผ่านไป ในช่วงเวลานี้เหล่าผู้ที่เชื่อในพระเยซู คริสต์ว่าทรงเป็นพระเมสิอาห์ที่พวกเขารอคอยจะลุกขึ้นมาจากผู้คนชาวอิสราเอลในท้ายที่สุด แต่พวกเขาหลายคนจะทนทุกข์ยากเพื่อปกป้องความเชื่อของตนเองจากสัตว์ร้าย ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และผู้ที่เชื่อเขา ผู้พยากรณ์ทั้งสองของพระเจ้าจะทนทุกข์ยากเมื่อพวกเขาทำภาระกิจของตนสำเร็จ. 
พยานทั้งสองจะถูกพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ฆ่าตามพระวจนะของพระเจ้า ทำไม? เพราะ ว่าพระเจ้าทรงต้องการที่จะประทานรางวัลสำหรับการทนทุกข์ยากของพระองค์เช่นกัน รางวัลนี้ได้มีเพื่อพวกเขาในการเข้าร่วมในการเป็นขึ้นมาจากความตาย ร่วมกับพระผู้เป็นเจ้าในงานเลี้ยงแต่ง งานของพระเมฆโปดก ยินดีตลอดไปและได้รับชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าทรงต้องการที่จะทนทุกข์ยากสำหรับความเชื่อของตน พระเจ้าทรงมีทรงต้องการที่จะทนทุกข์ยากเพื่อความเชื่อของพวกเขาโดยการประทานพระพรมาให้แก่วิสุทธิชนทุกคน ดังนั้นวิสุทธิชนทั้งหมดจะต้องไม่กลัวหรือหลบเลี่ยงการทนทุกข์ยากของตน แต่ยอมรับมันในความเชื่อซึ่งยืนยันได้และได้รับพระพรเป็นรางวัล.
 
วรรคที่ 8: และศพของเขาจะอยู่ที่ถนนในเมืองใหญ่นั้น ซึ่งตามฝ่ายจิตวิญญาณเรียกว่า เมืองโสโดมและอียิปต์ อันเป็นเมืองซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราถูกตรึงด้วย.
วรรคนี้บอกกับเราว่า “พยานทั้งสอง” เป็นคนชาวอิสราเอลอย่างแท้จริง คนรับใช้ทั้งสองที่พระเจ้าจะทรงยกขึ้นเพื่อชาวอิสราเอลนั้นไม่ได้เป็นคนต่างชาติแต่มาจากผู้คนชาวอิสราเอลเอง ดัง นั้นพยานทั้งสองถูกฆ่าในสถานที่เดียวกันกับที่พระเยซูถูกตรึง ความจริงนี้บอกเราอย่างชัดเจนว่าพยานทั้งสองนี้เป็นชาวอิสราเอล พวกเขาเป็นคนรับใช้ของพระเจ้าเพื่อประชาชนชาวอิสราเอล. 
พระเจ้าจะทรงตั้งผู้เผยพระวจนะทั้งสองของพระองค์ให้แก่ชาวอิสราเอลผู้ที่ตามฝ่ายจิตวิญ ญาณเหมือนชาวเมืองโสโคมและอียิปต์ ประทานพลังให้พวกเขาและทำให้พวกเขายืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสิอาห์ผู้ที่ชาวอิสราเอลรอคอยเพื่อว่าชาวอิสราเอลจะกลับใจใหม่และเชื่อในพระเยซู.
ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะฆ่าคนรับใช้ของพระเจ้า ทั้งสองที่กลโกธา ที่ที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน เนื่องจากผู้ที่เชื่อปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์มีจิตวิญญาณที่ชั่วร้าย พวกเขาก็เกลียดและนำความตายไปสู่พยานทั้งสองที่เชื่อในพระเยซูและเป็นพยานเพื่อพระองค์ เหมือนกับที่ทหารโรมันผู้ทำการตรึงพระเยซูผู้มีจิตวิญญาณที่ชั่วร้ายก็ไม่เพียงแต่เกลียดพระเยซูเท่านั้น แต่พวกเขาเกลียดพยานทั้งสองของพระเจ้าและฆ่าพวกเขาด้วย.
 
วรรคที่ 9: คนหลายชาติ หลายตระกูล หลายภาษา หลายประชาชาติ จะเพ่งดูศพเขาตลอดสามวันครึ่ง และจะไม่ยอมให้เอาศพนั้นใส่อุโมงค์เลย. 
ท่ามกลางผู้คนชาวอิสราเอลก็จะมีผู้ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซู คริสต์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของตนเช่นกัน เมื่อดูที่การเพ่งดูศพของคนรับใช้ทั้งสอง (ต้นมะกอกสองต้น) คนเหล่านี้จะมีชัยชนะโดยการรับรู้ของการมีชัยชนะของตนและในการทำให้การรับรู้ในชัยชนะนี้ดีขึ้น พวกเขาจะต้องไม่ให้เหยื่อของตนถูกฝัง แต่ชัยชนะของพวกเขาจะแตกเป็นชิ้นๆเมื่อพระเจ้าทรงนำ “พยานทั้งสอง” มามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และพวกเขาก็จะกลัวพระเจ้า. 
พวกเขาอาจจะแสดงความยินดีกับตัวเองสำหรับการตายของคนรับใช้ของพระเจ้าทั้งสองคน แต่นี่จะอยู่ไม่นาน เพราะพวกเขาจะตระหนักได้โดยเร็วว่าปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์นั้นไม่เหมาะสมกับพระเยซู คริสต์ ความผิดหวังและความว่างเปล่าก็จะมีชัยชนะเหนือพวกเขา. 
คนเหล่านี้ไม่ชอบพระวจนะของการพยากรณ์พระเจ้าที่ประกาศโดยผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้ ด้วยการที่คนรับใช้ทั้งสองผู้ที่พระเจ้าจะทรงยกขึ้นนี้ ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะกำจัดผลสุดท้ายของความรอดและท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปเป็นผู้เชื่อตามซาตาน.
 
วรรคที่ 10: คนทั้งหลายซึ่งอยู่ในแผ่นดินโลกจะยินดีเพราะเขา และจะสนุกสนานรื่นเริง จะให้ของขวัญแก่กัน เพราะว่าผู้พยากรณ์ทั้งสองนี้ได้ทรมานคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในโลก. 
ตามที่พวกเขาได้ประกาศพระวจนะของการพยากรณ์ของพระเจ้า พยานทั้งสองที่ถูกยกขึ้นเพื่อความรอดของชาวอิสราเอลจะเจ็บปวดอย่างแสนใหญ่ยิ่งเพื่อผู้ที่เชื่อตามซาตาน ดังนั้นพวกเขาจะยินดีพร้อมกับความตายของพยานทั้งสองและให้ของขวัญแก่กันเพื่อแสดงความยินดีต่อกัน 
เราก็เช่นกัน จะมีความสุขเมื่อผู้ที่รบกวนจิตใจเราได้หายไป ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และผู้ที่ติดตามพวกเขาจะเกลียดพยานทั้งสองที่ได้รับการยกจากพระเจ้าได้ประกาศพระวจนะของพระองค์ ทุกครั้งพวกเขาได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าจิตวิญญาณของพวกเขาก็จะถูกเอาชนะโดยความเจ็บ ปวด เพราะว่าพวกเขาได้รับความทรมานเมื่อใดก็ตามที่พยานทั้งสองได้พูดกับพวกเขาเกี่ยวกับพระเยซู พวกเขาจะยินดีเมื่อพวกเขาได้เห็นตัวเองจะต้องตายด้วยพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาได้แลกเปลี่ยนของขวัญและแสดงความยินดีต่อกันและกัน. 
 
วรรคที่ 11: เมื่อเวลาผ่านไปสามวันครึ่งแล้ว ลมปราณแห่งชีวิตจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขาอีก และเขาก็ลุกขึ้นยืน คนทั้ง หลายที่ได้เห็นเขาก็มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก. 
อย่างไรก็ตามพระเจ้าจะทรงทำให้พยานทั้งสองได้เข้าร่วมในการฟื้นจากความตายครั้งแรก พระวจนะนี้คือหลักฐานของความจริงที่เหล่าวิสุทธิชนผู้ที่ทนทุกข์ยากเพื่อปกป้องความเชื่อของตนหลังจากรอดจากความผิดบาปโดยการเชื่อในพระวจนะของความรอดที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ จะเข้าร่วมในการฟื้นขึ้นมาจากความตายในครั้งแรก.
ลมปราณแห่งชีวิตที่เข้าไปสู่พวกเขาในหลังจาก “สามวันครึ่ง” แล้วได้บอกเราว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงยอมให้พวกเขาได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายในชั่วขณะนั้น ก็เหมือนกับที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายจากของเนื้อหนังของพระองค์ การที่พระเจ้าทรงยอมให้ความเชื่อของการฟื้นขึ้นมาจากความตายนี้แก่เหล่าวิสุทธิชน ก็เพื่อเหล่าวิสุทธิชนเองซึ่งเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่สำหรับผู้มีบาปทั้งหมดแล้ว มันจะนำความหมดความมั่นใจและความกลัวเป็นอันมากมาสู่พวกเขา การฟื้นขึ้นมาจากความตายเป็นครั้งแรกของเหล่าวิสุทธิชนก็คือคำสัญญาของพระเจ้าและรางวัลของพระองค์เพื่อความเชื่อของพวกเขา.
 
วรรคที่ 12: คนทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์ ตรัสแก่เขาว่า “จงขึ้นมาที่นี่เถิด” และพวกศัตรูก็เห็นเขาขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์. 
พระวจนะนี้ได้ชี้ถึงการฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนทั้งหมด คนทั้งหลายที่รอดจากความผิดบาปทั้งหมดจะทนทุกข์ยากเพื่อปกป้องความเชื่อของตนโดยไม่มีทางเลือกโดยการมีความเชื่อในพระวจนะของการพยากรณ์ของพระเจ้า วรรคนี้ได้แสดงให้เราได้เห็นว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้เหล่าวิสุทธิชนทั้งหมดฟื้นขึ้นมาจากความตายและให้พวกเขาได้ปลื้มปีติ เหล่าวิสุทธิชนและคนรับใช้ของพระเจ้าผู้ที่ทนทุกข์ยากในความเชื่อของพวกเขาจะได้รับพระพรจากพระองค์โดยการถูกยกขึ้นไปบนฟ้าอากาศ (ปลื้มปีติ) เพราะความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา เราได้แต่ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าสำหรับการประทานการฟื้นจากความตายและการปลื้มปีติมาให้เราเพื่อเป็นของรางวัลสำหรับการทนทุกข์ยากหลังจากการรอดโดยการเชื่อในการยกความผิดบาปที่พระองค์ประทานมาให้เรา.
พระเจ้า พระบิดาจะทรงยอมให้เกิดการฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติแก่ผู้ที่อยู่ตรงข้ามกับพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และผู้ที่ทนทุกข์ยากโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระเยซู คริสต์ประทานมาให้ เราจะต้องเชื่อในความจริงนี้ การฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนนั้นเป็นพระพรที่ไหลเวียนออกจากความรอดจากบาปผ่านความเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมาให้ของพวกเขา ซาตานและผู้ที่เชื่อตามเขาในช่วงเวลาสุดท้ายจะพบว่าความพยายามของตนได้ระเหยไปในอากาศเมื่อพวกเขาได้เห็นเหล่าวิสุทธิชนผู้ที่ถูกก่อกวนและถูกฆ่าได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายและปลื้มปีติ.
พระเจ้าจะทรงให้เหล่าวิสุทธิชนผู้ทนทุกข์ยากฟื้นขึ้นมาจากความตายและปลื้มปีติ แต่พระ องค์จะทรงทำลายผู้ที่ยังคงอยู่บนโลกนี้โดยการเทภัยภิบัติของขันทั้งเจ็ดลงมา เมื่อพันธกิจนี้สำเร็จอย่างรวดเร็วพระองค์ก็จะเสด็จลงมาบนโลกนี้พร้อมกับเหล่าวิสุทธิชนและเชิญคนชอบธรรมไปร่วมในงานเลี้ยงของพระคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเราจะทรงมีงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายเป็นพันปี เมื่อสิ้นสุดพันปี พระองค์จะทรงยอมให้ซาตานลุกขึ้นมาจากก้นเหวโดยเร็วและต่อสู้กับพระเจ้าและเหล่าวิสุทธิชนของพระองค์แต่ในท้ายที่สุดพระองค์ก็จะทรงทำลายซาตานและผู้เชื่อฟังเขาและพิพากษาให้พวกเขาถูกขว้างลงไปในไฟเผาอย่างเป็นนิรันดร์ อย่างไรก็ตามคนชอบธรรมจะเข้าไปสู่อาณาจักรสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าและอยู่กับพระองค์อย่างเป็นนิรันดร์.
 
วรรคที่ 13: และในเวลานั้นก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และเมืองนั้นก็ถล่มลงเสียหนึ่งในสิบส่วน มีคนตายเพราะแผ่นดินไหวเจ็ดพันคน และคนที่เหลืออยู่นั้นมีความหวาดกลัวยิ่ง และได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์. 
หลังจากการทนทุกข์ยาก การฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติของผู้พยากรณ์ทั้งสองที่พระเจ้าทรงยกพวกเขาขึ้นมาเพื่อความรอดของชาวอิสราเอลแล้ว พระองค์จะทรงยอมให้ทูตสวรรค์เทภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดมายังโลกนี้อย่างอิสระ ผู้ที่ยังคงอยู่บนโลกนี้หลังจากการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนจะได้รับภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดเหล่านี้เป็นของขวัญ พวกเขาจึงเพียงต่อสู้ดิ้นรนด้วยความกลัวและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า แต่สิ่งนี้มันใช้ไม่ได้สำหรับพวกเขาเพราะมันเป็นการกระทำของความเชื่อที่แท้จริงในความรักของพระเจ้าเท่านั้น.
เมื่อโลกนี้ถูกทำลาย คนชอบธรรมจะมีสวรรค์นิรันดร์ การฟื้นจากความตายอันเป็นนิรันดร์ และพระพรอันเป็นนิรันดร์ของตน แต่สำหรับผู้มีบาปแล้ว จะมีเพียงความทุกข์ทรมานในไฟนรกอันเป็นนิรันดร์เท่านั้นที่รอคอยพวกเขาอยู่ นี่คือเหตุผลที่ทุกคนจะต้องได้รับการยกความผิดบาปของตนโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ และเนื่องจากคนทั้งหลายที่ได้รับการยกความผิดบาปของตนได้เชื่อในสวรรค์ใหม่ที่พระเจ้าทรงอนญาตให้พวกเขา พวกเขาก็จะประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณไปสู่ทุกคน. 
 
วรรคที่ 14: วิบัติที่สองก็ผ่านไปแล้ว ดูเถิดวิบัติอย่างที่สามก็จะมาถึงในไม่ช้านี้แหละ 
วิบัติอย่างที่สามจากพระเจ้าจะรอคอยทุกคนอยู่ยกเว้นพวกที่ได้เข้าร่วมในการฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติโดยการรอดและทนทุกข์ยาก ทั้งพวกคนต่างชาติและชาวอิสราเอล 
ภัยพิบัติสุดท้ายจากที่ทูตสวรรค์เป่าแตรที่หกไปจนถึงจุดเริ่มต้นของภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดพร้อมกับเสียงของแตรที่เจ็ดนั้นเรียกว่าวิบัติที่สอง ภัยพิบัติของแตรทั้งเจ็ดนั้นถูกแบ่งออกไปเป็นสามช่วงเวลา คือยุคต้น ยุคกลาง และยุคสุดท้าย ภัยพิบัติธรรมชาติและการทนทุกข์ยากของเหล่าวิสุทธิชนโดยพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์นั้นรวมอยู่ในวิบัติที่หนึ่งและที่สอง อีกนัยหนึ่งวิบัติที่สามนั้นคือภัยพิบัติที่ทำลายโลกโดยสมบูรณ์นั่นเอง วิบัติที่สามนี้คือขันของพระพิโรธของพระเจ้าที่จะเทลงบนผู้มีบาปที่ยังคงอยู่บนโลกนี้. 
 
วรรคที่ 15: และทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดก็เป่าแตรขึ้น และมีเสียงหลายๆเสียงกล่าวขึ้นดังๆในสวรรค์ว่า “ราชอาณาจักรทั้งหลายแห่งพิภพนี้ได้กลับเป็นราชอาณาจักรทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์.” 
คำว่า “มีเสียงหลายๆเสียงกล่าวขึ้นดังๆในสวรรค์” แสดงให้เราเห็นว่าเหล่าวิสุทธิชนและคนรับใช้ผู้ที่รอดจากความผิดบาปได้อยู่บนสวรรค์แล้วในช่วงเวลาที่ภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดได้เริ่มต้นขึ้นบนโลกนี้ ดังนั้น ในเวลานี้ก็จะไม่พบคนของพระเจ้าอีกต่อไปแล้วบนโลกนี้ เราจะต้องตระหนักว่า “ราชอาณาจักรทั้งหลายแห่งพิภพนี้ได้กลับเป็นราชอาณาจักรทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์.” 
ในเวลานี้เองเหล่าวิสุทธิชนจะสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์ แต่หลังจากที่ภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดนั้นถูกเทลงมา พวกเขาก็จะลงมาสู่โลกใหม่พร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าและครอบครองอยู่กับพระองค์เป็นพันปีในโลกนี้ แล้วจากนั้นพระผู้เป็นเจ้าและเหล่าวิสุทธิชนก็จะครอบครองฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ตลอดไป. 
พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเราให้รอดโดยการปลดปล่อยความผิดบาปออกจากเราแทนการครอบ ครองเหนือเราดุจกษัตริย์ พระองค์ทรงประทานพระคุณของการทำให้เหล่าผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณได้รอดจากบาปไปเป็นบุตรของพระองค์มาให้เรา ตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์นิรันดร์ของเรา พระองค์ก็ทรงทำให้คนของพระองค์ได้ครอบครองอย่างเป็นนิรันดร์ ฮาเลลูยา! ขอขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า! 
 
วรรคที่ 16: และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งในที่นั่งของตนเบื้องพระพักตร์พระเจ้าก็ทรุดตัวลงกราบนมัสการพระเจ้า 
พระเจ้ามีค่าที่จะได้รับพระสิริทั้งหมด นี่ก็เหมาะสมสำหรับผู้ที่รอดจากความผิดบาปของตนเท่านั้นที่จะทรุดตัวลงกราบและนมัสการและสรรเสริญพระเจ้าได้ พระผู้เป็นเจ้าของเราผู้ทรงทำพันธกิจทั้งหมดของการช่วยผู้มีบาปให้รอด ทรงมีค่าที่จะได้รับการสรรเสริญและนมัสการจากเหล่าวิสุทธิชนและสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลอดตลอดไปเป็นนิรันดร์.
 
วรรคที่ 17: และทูลว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงดำรงอยู่บัดนี้และผู้ได้ทรงดำรงอยู่ในกาลก่อน และผู้จะเสด็จมาใน อนาคต ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบ พระคุณพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงใช้ฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์และได้ทรงครอบครอง.” 
พระผู้เป็นเจ้าของเราจะทรงเอาชนะซาตานและได้รับพลังอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดาในการการครอบครองกับคนของพระองค์ตลอดกาลจากตอนนั้นมา ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจะทรงครอบครองอย่างเป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงมีคุณค่าที่จะทำเช่นนั้น ผู้เขียนขอถวายพระเกียรติแก่พระองค์ เพื่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงทำให้ความผิดบาปทั้งหมดของโลกหายไป ผู้ทรงช่วยคนทั้งหลายที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณให้รอด และผู้ที่พิพากษาศัตรูของพระองค์ ผู้ทรงเหมาะ สมที่จะรับพลังอันศักดิ์สิทธิ์และครอบครองอย่างเป็นนิรันดร์ ดังนั้นคนทั้งหลายที่ตระหนักถึงความเป็นอธิปไตยของพระเจ้าจะสวมในพระเกียรติของการสรรเสริญพระเจ้าอย่างเป็นนิรันดร์พร้อมกับ ฤทธานุภาพสุงสุดของพระผู้เป็นเจ้าและความรักของพระองค์. 
 
วรรคที่ 18: “เหล่าประชาชาติมีความโกรธแค้น แต่พระพิโรธของพระองค์ก็มาถึงแล้ว ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว และถึงเวลาที่พระองค์จะทรงประ ทานบำเหน็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ คือพวกศาสดาพยากรณ์ และวิสุทธิชนทั้งปวง และแก่คนทั้ง หลายที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ และถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงทำลายคนที่ทำลายแผ่นดินโลก.” 
การเทภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดพร้อมกันจะเกิดขึ้นมาทำลายเนื้อหนังของผู้ที่ยังคงเป็นคนต่าง ชาติทางจิตวิญญาณ พระวจนะนี้บอกเราว่าจากนั้นจะเป็นเวลาสำหรับพระเจ้าในการพิพากษาทุกคนเพื่อการพิพากษาทั้งหมด ทรงประทานบำเน็จให้กับคนรับใช้และศาสดาพยากรณ์ของพระองค์และวิสุทธิชนทั้งปวงที่ยำเกรงพระองค์ และจะทรงทำลายผู้ที่ต่อต้านพระองค์และไม่เชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำการพิพากษาของพระพิโรธของพระองค์มาสู่ผู้ที่ไม่ได้ตระหนัก ถึงอำนาจของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงยอมให้เหล่าวิสุทธิชนถวายพระเกียรติพร้อมกับพระองค์ นี่ก็หมายความว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาทั้งหมดทั้งความดีและความชั่วร้าย. 
เมื่อพระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่บนบัลลังค์ของพระองค์เหมือนกับกษัตริย์ของผู้ที่เกิดใหม่และทรงพิพากษาทุกๆคน ผู้มีบาปและคนชอบธรรมทุกคนของโลกนี้จะได้รับการพิพากษาที่ยุติธรรมของพวกเขา ในเวลานี้ด้วยการเป็นลูกขุนของการพิพากษาของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าจะประทานสวรรค์และชีวิตนิรันดร์มาให้แก่เหล่าวิสุทธิชนทั้งหลายแต่พระองค์ก็จะทรงนำการทำลายอันเป็นนิรันดร์และการลงโทษของนรกมาสู่ผู้มีบาปทุกคน อำนาจปกครองของพระเยซู คริสต์และพระพรของการครอบครองคนของพระองค์จะอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร์ โลกที่หนึ่งก็จะสิ้นสุดในเวลานี้นั่นเอง และโลกที่สองที่เป็นอาณาจักรของพระคริสต์ก็จะเริ่มต้น.
 
วรรคที่ 19: แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก ในพระวิหารนั้นเห็นมีหีบพันธสัญญาของพระองค์ แล้วก็มีฟ้าแลบ และเสียงต่างๆ ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ลูกเห็บก็ตกอย่างหนัก. 
พระเจ้าจะทรงยอมให้วิสุทธิชน และคนชอบธรรมของพระองค์ได้รับพระพรของการได้อยู่ในพระวิหารของพระองค์ ทั้งหมดนี้สมบูรณ์ตามพระวจนะของพันธสัญญาของพระเจ้าต่อมนุษย ชาติในพระเยซู คริสต์ อาณาจักรของพระเจ้านั้นเริ่มต้นพร้อมกับพระวจนะของการพยากรณ์ของพระเจ้าและมันก็สมบูรณ์โดยความสมบูรณ์ของการพยากรณ์ นี้. 
พันธสัญญาของพระเจ้าทั้งหมดจากการฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนไปถึงการร่วมงานเลี้ยงของพระเมษโปดกพร้อมกับพระเยซู และพระพรของการครอบครองราวกับกษัตริย์ตลอดกาล นั้นได้ประทานให้แก่ผู้คนชาวอิสราเอลและแก่เราผู้เป็นคนต่างชาติ เช่น กันนี้พระองค์ทรงดูแลความรอดของชาวอิสราเอลในช่วงเวลาสุดท้ายและความรอดของเราในวิธีเดียวกัน ทรงทำให้เราได้ทนทุกข์ยากในช่วงเวลานี้ ทรงประทานการฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติเช่นเดียวกันนี้ตามมา และสวมเกียรติเดียวกันให้กับเรา พระวจนะบอกเราว่าแม้ว่าชาวอิสรา เอลและเราพวกคนต่างชาติเป็นคนที่แตกต่างกันในเนื้อหนัง แม้กระนั้นเราก็ยังเป็นคนคนเดียวกันของจิตวิญญาณของพระเจ้า. 
หลายคนอ้างและเชื่อว่าผู้ที่เกิดใหม่จะปลื้มปีติก่อนความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งของช่วงเวลาเจ็ดปี แต่ไม่ใช่กรณีนี้ เมื่อกล่าวตามแบบพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ผู้คนจะยังคงได้ฟังข่าวประเสริฐที่แท้จริงและรอดในช่วงสามปีครึ่งแรกของช่วงเวลาเจ็ดปีของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง จากนั้นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะเกิดขึ้น เหล่าวิสุทธิชนจะทนทุกข์ยาก หลังจากการฟื้นคืนชีพและการปลื้มปีติของพวกเขาแล้วก็จะเกิดงานเลี้ยงของงานแต่งงานของพระคริสต์ของพระเมษโปดก และยอมให้วิสุทธิชนได้ครอบครองกับพระองค์เป็นพันปี. 
เหล่าวิสุทธิชนจะต้องมีความรู้ที่ถูกต้องของช่วงเวลาของความทุกข์ลำบาก การฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติของพวกเขา พวกเขาจะยังคงมีข้อสงสัยในความสับสนและตายทางจิตวิญญาณโดยไม่มีความรู้เกี่ยวกับช่วงเวลานี้. 
คนทั้งหลายที่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับช่วงเวลาสุดท้ายของพระเจ้ามีความหวังในเรื่องการฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติของตน และจะรับใช้ข่าวประเสริฐอย่างกระตือรือร้น คนทั้ง หลายที่ทราบว่าไม่มีความหวังอยู่บนโลกนี้จะต้องมีความหวังเช่นเดียวกันกับผู้ที่เกิดใหม่โดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ และเหล่าวิสุทธิชนจะทนทุกข์ยากโดยการเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า. 
ความเชื่อที่สามารถแยกแยะช่วงเวลาได้นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคนี้ เวลาสำหรับภัยพิบัติที่น่ากลัวและความยากลำบากที่จะตกลงมายังโลกทั้งโลกนี้และการเกิดของปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องตื่นขึ้นมาแล้ว เราจะต้องคิดไว้ในใจว่าเราจะต้องผ่านความยากลำบากของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งไปจนเกือบทั้งหมด และมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราเชื่อในการกลับมาของพระคริสต์ ในการฟื้นขึ้นมาจากความตายและการปลื้มปีติของเรา และในการร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำของพระเมษโปดกพร้อมกับพระคริสต์ เราจะต้องเข้าสู่หีบพันธสัญญาของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเพื่อที่เราจะได้มีความเชื่อที่เหมาะสมสำหรับยุคนี้. 
ผู้เขียนหวังและอธิษฐานว่าด้วยการทราบถึงยุคปัจจุบันนี้ ท่านจะมีความเชื่อที่จำเป็นเร่ง ด่วนที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับยุคนี้.