Search

布道

เรื่องที่ 9: โรม (ข้อคิดเกี่ยวกับหนังสือของโรม)

[บทที่ 1-1] บทนำสู่โรมบทที่ 1

“จดหมายของเปาโลผู้เป็นอัครสาวกที่มีไปสู่ผู้ที่อยู่กรุงโรม” นั้นอ้างได้ว่าพระคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีที่จะได้รับความชอบธรรมของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งล้ำค่า คือการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเป็นส่วนใหญ่ อุปมาบทโรมกับบทจดหมายของยากอบ ที่ได้นิยามผู้สร้างว่าเป็น “พระวจนะของสิ่งล้ำค่า” และว่าจดหมายเป็น “พระวจนะของกองฟาง” อย่างไรก็ตามพระวจนะของพระเจ้าตามบทยากอบก็เหมือนกันกับบทโรม มีข้อแตกต่างข้อเดียวคือ บทโรมนั้นล้ำค่าเพราะว่าได้จัดเตรียม ภาพกว้างๆทั่วไปของพระคัมภีร์ไบเบิลเอาไว้ ในทางตรงกันข้ามบทยาคอบนั้นล้ำค่าในพระวจนะที่สร้างชีวิตที่ชอบธรรมโดยพระประสงค์ของพระเจ้า
 
 
แล้วเปาโลคือใคร?
 
ลองมาอ่าน โรม 1:1-7 ก่อน “เปาโล ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกให้เป็นอัครสาวก และได้ถูกแยกตั้งไว้สำหรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้าโดยพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้บังเกิดในเชื้อสายของดาวิดฝ่ายเนื้อหนังแต่ฝ่ายพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นบ่งไว้ด้วยฤทธานุภาพ คือโดยการเป็นขึ้นมาจากความตายว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นพวกข้าพเจ้าได้รับพระคุณและหน้าที่เป็นอัครสาวก เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ ให้ชนชาติต่างๆเชื่อฟังตามความเชื่อนั้นรวมทั้งพวกท่านที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นคนของพระเยซูคริสต์ด้วยเรียน บรรดาท่านที่อยู่ในกรุงโรม ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรักและทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชน ขอพระคุณและสันติสุขซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูคริสต์เจ้า จงดำรงอยู่กับพวกท่านเถิด”
ข้อความเหล่านี้นับได้ว่าเป็นคำต้อนรับของเปาโลสู่คริสเตียนในกรุงโรม เปาโลทักทายพวกเขาดุจเป็นคนรับใช้ของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า วรรคที่หนึ่งพูดถึงเกี่ยวกับว่า “เปาโลคือใคร?” เขาเป็นชาวยิวมาก่อนผู้ได้พบพระผู้เป็นเจ้าหลังฟื้นคือพระชนม์มาอีก บนทางสู่เมืองดามัสกัส และเป็นภาชนะที่เลือกสรรไว้แล้วของพระผู้เป็นเจ้า (กิจการ 9:15) เพื่อเผยแพร่ข่าวประเสริฐให้แก่พวกชนชาติอื่นด้วย
 
 

เปาโลเผยแพร่ข่าวประเสริฐที่แท้จริงตามระบบการบูชาและศาสดาพยาก รณ์ของพันธสัญญาฉบับเก่า

 
ในวรรคที่ 2 อัครสาวกเปาโลได้เผยแพร่ข่าวประเสริฐออกไปตามพระวจนะในพันธสัญญาฉบับเก่า เขานิยามคำว่า “ข่าวประเสริฐของพระเจ้า” ว่าเป็น “ข่าวประเสริฐที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้าโดยพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์” จากวรรคนี้เองเราจะเห็นว่าอัครสาวกเปาโลได้ประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณออกไปตามระบบการบูชาในพันธสัญญาฉบับเก่า ยิ่งไปกว่านั้น ในวรรคที่ 2 ได้ระบุว่าเปาโลได้รับเลือกให้ทำงานของข่าวประเสริฐ
ประโยคที่ว่า ‘โดยพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัม ภีร์อันบริสุทธิ์’ มีความหมายถึงคำสัญญาของพระเจ้าที่ได้ทรงส่งพระเยซู คริสต์ ผู้ปรากฏอยู่ในระบบการบูชาหรือศาสดาพยากรณ์ในพันธสัญญาฉบับเก่ามาให้ ศาสดาพยากรณ์ทั้งหมดของพันธสัญญาฉบับเก่ารวมไปถึง โมเสส, อิสยาห์, เอเสเคียล, เยเรมีย์ และดาเนียล ต่างก็ร่วมเป็นพยาน ในความจริงที่ว่าพระเยซู คริสต์ เสด็จมาโลกนี้และสิ้นพระชนม์บนไม้กาง เขนเพื่อนำบาปทั้งหมดในโลกนี้ไป
ข่าวประเสริฐที่อัครสาวกเปาโลได้ส่งมานั้นเป็นเช่นใด? เขาประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่ได้กล่าวถึงพระบุตรของพระเจ้าพระเยซู คริสต์
บางคนกล่าวว่าพระวจนะของพันธสัญญาฉบับเก่าได้จบสิ้นลงแล้ว โดยใช้คำกล่าวในมัทธิว 11:13 เป็นหลักฐาน และคนอื่นๆก็ยืนยันเช่นเดียวกัน ซึ่งบางคนรู้จักอีแวนเจอลิสต์ดีแม้ว่าจะเพิกเฉยต่อพันธสัญ ญาฉบับเก่าทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงรักษาสัญญาที่พระองค์มีกับเราผ่านพันธสัญญาฉบับเก่า และพระองค์ทรงทำให้คำสัญญาของพระองค์สม บูรณ์ผ่านพระเยซู คริสต์ ในพันธสัญญาฉบับใหม่ ดังนั้นในโลกของความเชื่อนี้พันธสัญญาฉบับใหม่ไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีพันธสัญญาฉบับเก่า และในวิธีเดียวกันนี้ พระวจนะของพันธสัญญาฉบับเก่าไม่สามารถสม บูรณ์ได้ถ้าขาดพระวจนะในพันธสัญญาฉบับใหม่
อัครสาวกเปาโลได้รับเลือกสำหรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า แล้วก็มีคำถามว่า “ข่าวประเสริฐชนิดไหนที่เขาประกาศ?” เขาประกาศความจริงที่ว่าพระเยซู คริสต์ เสด็จมายังโลกนี้และช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปทั้งหมดผ่านข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณตามหลักพันธสัญญาฉบับเก่า ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ เราก็ควรจะทำตามหลักของศาสดาพยา กรณ์และระบบการบูชาของพันธสัญญาฉบับเก่าเช่นเดียวกัน จากนั้นผู้คนก็จะเชื่อว่าข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั้นคือความจริงและเชื่อว่าพันธสัญญาฉบับใหม่คือความสมบูรณ์ของพระวจนะของคำสัญญาตามพันธสัญญาฉบับเก่า
เราจะพบในตอนต้นของพันธสัญญาฉบับใหม่ ว่าได้เน้นถึงการรับบัพติศมาจากยอห์นของพระเยซู และพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน ในขณะเดียวกันแก่นแท้ของพันธสัญญาฉบับเก่านั้นเป็นระบบการบูชาที่เป็นหนทางไถ่บาปสำหรับผู้มีบาป เขาหรือเธอจะต้องผ่านบาปของเขาหรือเธอไปโดยการวางมือลงบนหัวของเครื่องบูชาไถ่บาปและให้มันเลือดออกจนตายเพื่อที่จะได้ยกความผิดบาป
หากในพันธสัญญาฉบับเก่ามีการวางมือและการหลั่งเลือดของสัตว์บูชาสำหรับการขอยกความ ผิดบาป แล้วมีอะไรในพันธสัญญาฉบับใหม่? มีการรับบัพติศมาของพระเยซูและพระโลหิตบนไม้กาง เขน ยิ่งไปกว่านั้นมีการกล่าวถึงมหาปุโรหิตในพันธสัญญาฉบับเก่า (เลวีนิติ 16:21) ก็เทียบได้กับยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาในพันธสัญญาฉบับใหม่นั่นเอง
วรรคที่ 3 และ 4 กล่าวถึงคำถามที่ว่า “พระเยซูทรงเป็นคนประ เภทไหน?” วรรคนี้ได้อธิบายคุณลักษณะโดยทั่วไปของพระองค์ พระเยซู คริสต์ได้บังเกิดในเชื้อสายของดาวิด และฝ่ายพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระองค์ได้รับการยอมรับว่าเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยฤทธานุภาพของการเป็นขึ้นมาจากความตาย ดังนั้นพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดโดยประทานน้ำและพระโลหิตให้ผู้ที่วางใจในพระองค์ พระเยซู คริสต์ ทรงเป็นพระเจ้าของความรอด, เป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลาย และทรงเป็นมหาปุโรหิตของสรวงสวรรค์ให้แก่ผู้วางใจในพระองค์ทุกคน
ในบางหลักศาสนาของคริสเตียนได้ปฏิเสธการแบ่งภาคของพระเยซู หลักศาสนศาสตร์เหล่านี้กล่าวว่า “พระองค์เป็นแค่คนหนุ่มที่โดดเด่น” ยิ่งไปกว่านั้นตามหลักศาสนศาสตร์ใหม่กล่าวว่า “มีการไถ่บาปในทุกศาสนา” ดังนั้นในโรงเรียนสอนศาสนาเสรียังมีผู้คนยืนยันว่าพวกเขายอมรับพิธีไล่ผี, พุทธศาสนา, นิกายคาทอริค และศาสนาอื่นๆในโลกนี้ นี่จึงเรียกว่าศาสนศาสตร์เสรี หรือศาสนศาสตร์ใหม่ที่กล่าวว่าควรจะให้ความเคารพทุกสิ่ง และดังนั้นมนุษย์ทุกคนต้องรวมกันและเป็นหนึ่ง
อย่างไรก็ตามได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า ในตอนแรกพระเจ้าทรงสร้างสวรรค์และโลก พระเจ้าผู้นี้คือใคร? ก็คือพระเยซู คริสต์ ชื่อ “คริสต์” หมายความว่า ได้รับการเจิมด้วยน้ำมัน ในพันธสัญญาฉบับเก่ากษัตริย์หรือศาสดาพยากรณ์ก็ได้รับการเจิมศรีษะของพวกเขาจากมหาปุโรหิต พระเยซูจึงได้รับการอ้างว่าเป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลาย ผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระเจ้าจึงไม่ใช่ผู้ที่วางใจในพระเจ้า
ทุกวันนี้ความศรัทธาของผู้คนทั่วโลกจึงกลับไปสู่ความเชื่อตามศาสนาหลายฝ่าย พวกเขาสรร เสริญสักการะบูชาในขณะที่รวมหลักนอกศาสนาต่างๆเข้าด้วยกัน เช่นรวมกับพุทศาสนา ในเวลาหนึ่งร่วมชุมนุมสักการะบูชาในวิธีของพุทธศาสนา และอีกเวลาหนึ่งพวกเขาก็ทำในวิธีของคริสเตียน ถ้าเป็นอาหารมันอาจจะผสมเข้ากันอร่อยมาก อย่างไรก็ตามเมื่อมันเป็นความเชื่อ ความเชื่อที่บริสุทธิ์จะดีกว่า
ดังนั้น คำตอบของคำถามวรรคที่ 3 และ 4 ที่ว่า “พระเยซูคือใคร?” ก็คือ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าด้วยฤทธานุภาพจากการเป็นขึ้นมาจากความตาย พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอดของเรา
วรรคที่ 5 และ 6 กล่าวถึงวิธีที่เปาโลได้เป็นอัครสาวกผ่านพระเจ้า เขาร่วมเป็นพยานเพื่อประกาศข่าวประเสริฐไปสู่ชนชาติต่างๆ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับความรอดโดยการวางใจในพระเยซู คริสต์
 
 

อัครสาวกเปาโลมีอำนาจอะไร?

 
ดังที่ได้เขียนเอาไว้ในวรรคที่ 7 อัครสาวกเปาโลมีอำนาจในการให้พรในพระนามของพระเจ้าแก่ผู้วางใจในพระเยซู อำนาจของอัครสาวกหมายถึงฤทธาทางจิตวิญญาณของความสามารถในการอวยพรให้ทุกคนในพระนามของพระเยซู คริสต์
ดังนั้น เปาโลจึงสามารถกล่าวว่า “ขอพระคุณและสันติสุขซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูคริสต์เจ้า จงดำรงอยู่กับพวกท่านเถิด”
ตรงนี้เองผู้เขียนอยากจะคิดอีกสักเล็กน้อยเกี่ยวกับการให้พร ดูเหมือนว่าเปาโลนั้นมีอำนาจในการให้พรแก่ผู้คน และเมื่อใดก็ตามที่เราสิ้นสุดการอฐิษฐานในวันอาทิตย์ เราก็เข้าใกล้การได้รับพร “พระเจ้ามีพระประสงค์ ที่จะประทานพระพรนี้ให้แก่วิสุทธิชนทุกคน” พระวจนะของพระพรแด่เดิมเลยมีดังนี้
ลองมาเริ่มต้นกับบทกันดารวิถี 6:22 “พระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า ‘จงกล่าวแก่อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของอาโรนว่า’ ท่านทั้งหลายจงอวยพรแก่คนอิสราเอลดังต่อไปนี้ คือว่าแก่เขาทั้งหลายว่า: ขอพระเยโฮวาห์ทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน; พระเยโฮวาห์ทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่านขอพระเยโฮวาห์ทรงมีสีพระพักตร์แช่มชื่นต่อท่านและประทานสันติสุขแก่ท่าน”
อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของอาโรนถูกบอกว่า “ท่านทั้ง หลายจงอวยพรแก่คนอิสราเอล” หากพวกเขาได้อวยพรคนอิสราเอลด้วยวิธีนี้ พระเจ้าก็ทรงอวยพระพรแก่พวกเขาอย่างแท้จริงตามที่กล่าวในพระคัมภีร์ เมื่อเราดูสารของท่านเปาโลทั้งหมดเราก็จะเห็นท่านกล่าวไว้บ่อยๆว่า พระคุณของพระผู้เป็นเจ้าจะดำรงอยู่กับท่าน “นี่ก็ชี้ได้ว่าไม่ใช่ตัวของเขาเองหรอกที่ให้พร แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานพรต่างหาก ดังนั้นเปา โลจึงให้พรแก่วิสุทธิชนเสมอเมื่อใดก็ตามที่เขาจบสาร
เปาโลมีอำนาจในการให้อวยพรให้แก่คนของพระเจ้า อำนาจนี้ไม่ได้ให้แก่พระของคริสเตียนทั้งหมด แต่ได้ให้กับผู้รับใช้พระเจ้าเท่านั้น เมื่อผู้รับใช้พระเจ้าได้ขอพรว่าพวกเขามีความต้องการอย่างแท้จริงที่จะให้พร แล้วพระเจ้าก็จะทรงอนุญาตให้พวกเขาอวยพรได้ตามคำอธิษฐาน
พระเจ้าไม่ได้ประทานอำนาจทางสวรรค์ให้กับคนรับใช้ของพระ องค์เท่านั้น แต่ประทานให้กับวิสุทธิชนผู้เกิดใหม่ทั้งหมดด้วย พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านจะยกความผิดบาปของผู้ใด ความผิดบาปนั้นก็จะถูกยกเสีย และถ้าท่านจะให้ความผิดบาปติดอยู่กับผู้ใด ความผิดบาปก็จะติดอยู่กับผู้นั้น” (ยอห์น 20:23) พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้มีความชอบธรรมทั้ง หมดมีอำนาจ ดังนั้นคนผู้นั้นควรเอาใจใส่ไม่เพียงแต่การเผชิญหน้ากับวิสุทธิชนผู้เกิดใหม่หรือคนรับใช้ของพระองค์เท่านั้น เพราะมันก็เหมือน กับการได้เผชิญพระพักตร์พระเจ้าด้วย พระเจ้าก็ทรงประทานอำนาจของการอวยพรและการสาปแช่งให้ กับอัครสาวกของพระองค์ด้วยเช่นเดียว กับประทานให้กับคนรับใช้ของพระองค์หรือผู้ที่มีความชอบธรรมด้วย
 
 
เปาโลผู้ปรารถนาที่จะนำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ มาให้แก่วิสุทธิชน
 
ลองมาอ่านโรม 1:8-12 กัน “ประการแรก ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เหตุด้วยท่านทั้งหลาย เพราะว่าความเชื่อของพวกท่านเลื่องลือไปทั่วโลกเพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยชีวิตจิตใจของข้าพเจ้าในข่าวประเสริฐแห่งพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าเอ่ยถึงท่านทั้งหลายเสมอไม่ว่างเว้นข้าพเจ้าทูลขอว่า ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้วให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่านทั้งหลาย โดยอย่างหนึ่งอย่างใดในที่สุดนี้เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้แก่ท่านบ้าง เพื่อเสริมกำลังท่านทั้งหลายคือเพื่อข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายจะได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย”
เปาโลได้ขอบพระคุณในสิ่งใดต่อพระเจ้าเป็นประการแรก? เขาขอบคุณพระเจ้าให้คริสเตียนในกรุงโรมเพราะว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูและก็ได้ประกาศข่าวประเสริฐไปสู่คนอื่นๆผ่านพวกเขา
จะถามคำถามในวรรคที่ 9 และ 10 ได้ว่า “ทำไมเปาโลต้องการที่จะไปยังกรุงโรมในช่วงที่เขาเดินทางปฏิบัติหน้าที่?” เหตุผลสำหรับสิ่งนี้ก็เพราะว่าถ้าตอนนั้นได้ประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในกรุงโรมแล้ว ข่าวประเสริฐก็จะได้รับการเผยแพร่ออกไปทั่วโลกนั่นเอง ซึ่งกรุงโรมในตอนนั้นก็เป็นศูนย์กลางของโลกซึ่งเปรียบได้กับประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีผู้กล่าวไว้ว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” นั่นเอง
เราทำงานอย่างหนักในการประกาศข่าวประเสริฐในอเมริกา ถ้าเราเผยแพร่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในอเมริกาได้ มิชชันนา รีหลายแห่งจะเพิ่มขึ้นและออกไปสู่โลกกว้างเพื่อประกาศข่าวประเสริฐไปที่อื่นๆอีก ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เปาโลต้องการเดินทางไปกรุงโรม
 
 

ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณที่เปาโลพูดถึง

 
ในวรรคที่ 11 ได้เขียนเอาไว้ว่า “เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้แก่ท่านบ้าง เพื่อเสริมกำลังท่านทั้งหลาย”
คำว่าเพื่อจะนำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้แก่ท่านบ้างเพื่อเสริมกำลังท่านทั้งหลายตามที่เปาโลกล่าวถึงหมายความว่าอะไร? ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณที่เขากล่าวถึง ก็คือข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่เราได้ร่วมกันประกาศนั่นเอง ในวรรคที่ 12 เขียนเอาไว้ว่า “คือเพื่อข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายจะได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย” ที่กล่าวว่าของประทานฝ่ายจิตวิญญาณบางอย่างจะประทานให้ผู้คนเพื่อยอมให้พวกเขาได้เสริมกำลังและหนุนใจพวกเขาด้วยความเชื่อของพวกเขาและของเปาโลดวย เปาโลต้องการให้ผู้คนได้พักผ่อน, ได้รู้สึกสบาย, ได้รับพระพร และเกิดมิตรภาพระหว่างผู้ที่มีความศรัทธาเช่นเดียวกัน ด้วยการนำของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ
อัครสาวกเปาโลกล่าวว่าเขาต้องการที่จะหนุนใจพร้อมกับพวกเขา ด้วยความศรัทธาที่แสดงว่าเขาได้ประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณต่อไปอีกครั้งหนึ่งกับคริสตจักรของโรม ตอนนี้สมาชิกของคริสตจักรของเราเข้าใจและเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็มีคริสเตียนบางคนที่เชื่อในข่าวประเสริฐในตอนนั้นแต่เพียงในนามเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้คริสตจักรในกรุงโรมจะต้องกระตุ้นข่าวประเสริฐขึ้นมาใหม่
ดังนั้นเปาโลจึงกล่าวว่าเขาจะได้หนุนใจโดยความเชื่อในตัวเขา ความจริงแล้ว เราได้รับความสบายก่อนแล้วต่อพระพักตร์พระเจ้า และหัวใจของเราก็ได้พักผ่อนในที่สงบสุข ขอบพระคุณในความศรัทธาในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ เราจะไม่สามารถพักผ่อนในที่สงบสุขได้โดยปราศจากข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ
ยิ่งไปกว่านั้นตามที่ได้เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้แก่ท่านบ้าง เพื่อเสริมกำลังท่านทั้งหลาย” ของประ ทานฝ่ายจิตวิญญาณนี้ก็คือข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั่นเอง ใครก็ตามจะได้เป็นบุตรของพระเจ้าและได้รับพระพรเพียงเมื่อเขาหรือเธอเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีประโยชย์อะไรที่ผู้คนมีชีวิตอยู่อย่างชอบธรรมหรืออยู่ด้วยความศรัทธาโดยการหยุดดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่และไม่ทำความผิดอะไรเลย แต่พวกเขากลับไม่รู้จักข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณแม้ว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซูไม่ว่าวิธีใดๆ? การกระทำของพวกเขานั้นไม่มีความหมายใดๆต่อความชอบธรรมของพระเจ้าเลย ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าความเป็นอยู่ของมนุษย์มาก มันง่ายมากที่จะดึงผู้คนเข้าโบสถ์ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณไปสู่ผู้ที่เชื่อคนใหม่ๆเหล่านั้นต่างหาก เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการยกความผิดบาปและมาเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยการสวมพระพรฝ่ายจิตวิญญาณของสวรรค์
เปาโลต้องการให้วิสุทธิชนในกรุงโรมร่วมหนุนใจกันและกันผ่านความศรัทธาของเขา ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “คือเพื่อข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายจะได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย” ดังนั้นเปาโลก็ประกาศข่าวประเสริฐที่แท้จริงไปสู่ผู้ร่วมชุมนุมในโบสถ์เพื่อให้พวกเขาได้เกิดความศรัทธา ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการเสริมกำลังด้วยความเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณของเขาเอง เขาจึงต้องนำข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณไปสู่ผู้ที่เชื่อในโบสถ์ในกรุงโรมและสอนพวกเขาว่าจริงๆแล้วข่าวประเสริฐคืออะไร
นี่เองที่ทำให้เปาโลแตกต่างจากพวกอีแวนเจอลีสต์ในปัจจุบันนี้ ในจดหมายที่เขียนไปถึงคริสตจักรในกรุงโรม เปาโลได้กล่าวว่าเขาต้อง การที่จะให้ผู้คนได้เสริมกำลังโดยการนำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้พวกเขาและหนุนใจพวกเขาด้วยความเชื่อของพวกเขาทั้งสองฝ่าย ผู้เทศน์ในคริสจักรทั้งหมดในปัจจุบันนี้ควรจะศึกษาจากท่านอัครสาวกเปาโล เปาโลเคยประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่มีผู้หนึ่งที่เข้าใจได้พี่น้องคริสเตียนที่แท้จริง
ทุกวันนี้คริสตจักรได้ยอมให้สมาชิกใหม่ได้รับบัพติศมาจากการสอนทางลัทธิต่างๆในช่วงหกเดือน และภายในหนึ่งปีเท่านั้นเอง พวกเขาได้รับบัพติศมาโดยไม่คำนึงว่าพวกเขารู้จักข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระเยซูทรงทำให้สมบูรณ์หรือไม่ อีกนัยหนึ่ง แม้ว่าผู้คนมา ร่วมเป็นสมาชิกของคริสตจักรแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นบุตรของพระเจ้าที่ได้รับความชอบธรรมของพระองค์ได้ สิ่งเดียวที่บาทหลวงของคริสตจักรในปัจจุบันถามสมาชิกใหม่ของพวกเขาก็คือพวกเขาจำบัญญัติสิบประ การและหลักคำสอนต่างๆของอัครสาวก ได้หรือไม่เท่านั้น จาก นั้นถ้าพวกเขาผ่านการทำสอบความจำนั้น บาทหลวงก็จะถามว่า “คุณจะหยุดดื่มเหล้ามั๊ย? คุณจะหยุดสูบบุหรี่มั๊ย? คุณจะร่วมบริจาคทุกเดือนมั๊ย? คุณจะนำพาชีวิตที่ดีมั๊ย?”
เหตุผลที่คริสตจักรต่างๆในยุโรป, เอเชีย, และที่อื่นๆทั่วโลกนั้นได้แยกออกจากความชอบธรรมของพระเจ้า ก็เพราะพวกเขาไล่ตามหลังความชอบธรรมของมนุษย์นั้นเอง ทุกวันนี้แม้แต่ในเกาหลีหรือที่เรียกว่า “กรุงเยลูซาเล็มของเอเชีย” จำนวนคริสเตียนก็ลดลงเรื่อยๆ ตอนนี้ถึงเวลาที่ไม่มีใครอยากไปโบสถ์แล้ว พวกเขาไม่ต้องการไปโบสถ์เลยหากไม่มีเทศกาลพิเศษใดอย่างเช่นเทศกาลสรรเสริญพระเจ้าหรือคอนเสิร์ตเพลงป๊อป แม้พวกเขาจะมาร่วมก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับความชอบธรรมของพระเจ้าเลยนอก จากบทสอนโดยทั่วไปที่บอกพวกเขาให้ “ห้ามสูบบุหรี่, ให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์, ให้รักษาศิลวันอาทิตย์อันบริสุทธิ์และทำงานอาสาสมัครให้มากๆ”  เท่านั้นเอง
เพราะมนุษย์เราทำบาปได้อย่างรวดเร็วและเปราะบางเกินไปที่จะหยุดทำบาปทำให้เขาหรือเธอต้องวางใจในพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นเมื่อผู้คนมาร่วมในคริสตจักรของพระเจ้าเราควรจะนำข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณไปสู่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้รับความชอบธรรมของพระเจ้า เราควรจะนำความชอบธรรมของพระเจ้าไปให้พวกเขาอย่างแท้จริง
จดจำสิ่งนี้เอาไว้ ใครก็ตามสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าหลังจากที่เขาหรือเธอเป็นผู้ไม่มีบาป โดยเชื่อในความชอบธรรมของพระเจ้าเท่านั้น ใครก็ตามจะประกาศข่าวประเสริฐออกไปได้หลังจากที่ปัญหาของเขาหรือเธอได้รับการจัดการแล้วเท่านั้น ไม่ควรให้ปัญหาของบาปส่วนตัวของเรามานำหน้าภารกิจของเราในการประกาศข่าวประเสริฐไปสู่ผู้อื่น ใครก็ตามไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐไปสู่ผู้อื่นได้ถ้าเขาหรือเธอไม่ได้แก้ปัญหาความผิดบาปของตัวเองก่อน
ได้กล่าวไว้ว่าเปาโลได้นำของประทานฝ่ายจิตวิญญาณมาให้แก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง ของประทานที่เปาโลพูดถึงไม่ใช่ของประทานของการพูดด้วยภาษาแปลกๆหรือการรักษาโรคเหมือนที่กล่าวเอาไว้ตามคริสต จักรในปัจจุบัน ซึ่งคริสเตียนส่วนใหญ่ให้ความเคารพในปรากฎการณ์แปลกๆเช่นการเห็นภาพต่าง, การพยากรณ์, การพูดด้วยภาษาแปลกๆ หรือการรักษาโรคว่าเป็นของประทาน
อย่างไรก็ตามสิ่งต่างๆเหล่านี้ ไม่ใช่ของประทานจากสวรรค์ การเห็นภาพต่างๆในขณะที่กำลังอธิษฐานอยู่นั้นไม่ใช่ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ผู้ที่กรีดร้องอย่างดังหรือผู้ที่เกิดอาการบ้าคลั่ง เมื่อพวกเขาหรือเธอได้ยินเสียงแปลกๆทำให้นอนไม่หลับไปสามคืนเหล่านั้นไม่ใช่ของประทานจากพระเจ้า ใครก็ตามที่อ้างว่าเขาสามารถพูดด้วยภาษาแปลกๆและล้มลงบนพื้นอย่างไม่ได้สติหลังจากตะโกนคำแปลกๆว่า “ลา-ลา-ลา-ลา” พร้อมกับรัวลิ้น นั้นก็ไม่ใช่สัญญาณว่าผู้นั้นได้รับพระวิญ ญาณบริสุทธิ์ แต่มันเป็นอาการของผู้ป่วยที่จิตใจไม่ปกติในลักษณะที่เป็นอาการทางจิตที่ดุร้าย อย่างไรก็ตามก็ได้เรียก “กลุ่มฟื้นฟูผู้มีพรสวรรค์” ว่าเป็นผู้ที่ยืนยันว่าพวกเขาสามารถสอนคริสเตียนให้พูดด้วยภาษาแปลกๆหรือสอนวิธีได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พวกเขากระทำการบางสิ่งแบบผิดๆ และความเชื่อที่พวกเขามีอยู่นั้นมันไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน
น้ำแห่งชีวิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ไหลออกมาจากหัวใจของเรา เมื่อเรากระทำภารกิจฝ่ายจิตวิญญาณของพระเจ้าด้วยความศรัทธา และเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า น้ำของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไหลอยู่ในหัวใจของเราเมื่อเราลดการกระทำเกี่ยวกับเนื้อหนังและติดตามการกระทำทางฝ่ายจิตวิญญาณแทน
คริสเตียนควรจะได้รับของประทานฝ่ายจิตวิญญาณของการได้รับการยกความผิดบาปโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ บางคนกล่าวว่าตอนนี้คริสเตียนต่างก็มุ่งไปสู่นรกมากขึ้นผ่านประธานของคริสตจักรในทุกวันนี้ สิ่งนี้ชี้ว่าคริสตจักรในทุกวันนี้สนับ สนุนความชอบธรรมของมนุษย์แทนการประกาศความชอบธรรมของพระเจ้า
พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้รวบรวมความชอบธรรมของมนุษย์ได้มากมาย หลังจากเข้าร่วมในโบสถ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาหรือเธอได้รับของประทานทางฝ่ายจิตวิญญาณด้วยการกระทำเช่นนั้นได้ เราควรจะรับเอาความชอบธรรมของพระเจ้าเข้าไว้ในหัวใจของเราด้วยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำ และพระวิญญาณ เพื่อให้เราได้รับของประ ทานฝ่ายจิตวิญญาณได้
เราลองมาอ่านวรรคที่ 13 ถึง 17 ดู “พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่น เดียวกับในหมู่ชนชาติอื่นๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่)ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและพวกชาวป่าด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนเขลาด้วยฉะนั้นข้าพเจ้าก็เต็มใจพร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วยด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน และพวกกรีกด้วยเพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’”
เปาโลต้องการเดินทางไปกรุงโรม อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถทำได้เพราะได้เกิดเหตุขัดข้องขึ้นกับเขา ดังนั้นเขาจึงต้องอธิษฐานขอให้ประตูของการทำงานเผยแพร่ศาสนาของเขาได้เปิดออก เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ควรจะอธิษฐานแบบเดียวกัน ในขณะที่ทำการประกาศข่าวประเสริฐออกไปทั่วโลกผ่านงานเขียนของเรา เพียงเมื่อเราอธิษฐานพระทัยของพระเจ้าก็จะเคลื่อนย้ายและก็จะทรงเปิดประตูเพื่อเป็นทางผ่านให้เรานำข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณออกไปได้ทั่วโลก
 
 
เปาโลผู้ที่ติดหนี้ทุกๆคน
 
ตามที่เปาโลกล่าวไว้ในวรรคที่ 14 และ 15ว่าเขาเป็นหนี้นั้น เขาเป็นหนี้ใคร และเป็นหนี้ชนิดไหน? เขากล่าวว่าเขาเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและพวกชาวป่าและเขาเป็นหนี้ในการประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ และเขาก็กล่าวอีกว่าเขาเป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนเขลาด้วย เขาจึงต้องการที่จะประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คนหล่านี้ในกรุงโรมให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดังนั้น วัตถุประสงค์ของเปาโลที่เขาได้เขียนถึงคริสตจักรก็เพื่อนำข่าวประเสริฐที่แท้จริงไปนั่น เอง เขาพบว่าแม้ว่าในหัวใจของผู้ที่อยู่ในคริสตจักรในกรุงโรมนั้นไม่ได้มีข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณอยู่ด้วยความศรัทธาเลย ดังนั้นเขาจึงอ้างอิงว่าข่าวประเสริฐเป็นของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณออกไป แม้คนเหล่านั้นอยู่ภายในคริสตจักรอยู่แล้วก็ตาม ก็เหมือน กับประกาศไปสู่ผู้คนทั้งหมดในโลกนี้ เขากล่าวว่าเขาเป็นหนี้ทั้งพวกนัก ปราชญ์, คนเขลา, พวกกรีก และพวกชาวป่าทั้งหมด
เปาโลเป็นหนี้ชนิดไหน? เขาเป็นหนี้ในการประกาศข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณออกไปสู่ผู้คนทั้งหมดในโลกนี้นั่นเอง เขายืนยันที่จะใช้หนี้ทั้งหมดที่เขาติดกับผู้คนทั่วโลก เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ตอนนี้ผู้คนเหล่านี้มีข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่ได้เผยแพร่ไว้แล้ว หนี้ที่พวกเขาจะ ต้องจ่ายก็คือการทำงานในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐออกไป นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราจะต้องเผยแพร่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณออกไปทั่วโลกในเวลานี้นั่นเอง
ผู้คนคิดอย่างผิดๆว่ามีเพียงโลหิตบนไม้กางเขนเท่านั้นที่เป็นความรอดทั้งหมด อย่างไรก็ตามข่าวประเสริฐตามพระคัมภีร์ไบเบิลที่ร่วมเป็นพยานก็คือข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่เปาโลได้พิสูจน์เท่านั้น ดังนั้นในโรม บทที่ 6 เปาโลกล่าวว่าเขาได้รับบัพติศมาในพระเยซู คริสต์ และในความตายของพระองค์เช่นเดียวกัน เนื่องจากคริสเตียนในคริสตจักรในกรุงโรมเป็นเพียงคริสเตียนแต่เพียงในนามเท่านั้นที่เชื่อในโลหิตของไม้กางเขียนแต่เพียงอย่างเดียว เปาโลต้องการนำความลับของบัพติศมาที่พระเยซูทรงได้รับออกมา เหมือนกันนี้ เราก็ควรจะประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณออกไปสู่ผู้ที่ไม่สามารถได้ยินข่าวประเสริฐ แม้ว่าพวกเขาอยู่ภายในคริสตจักรมานานแล้วก็ตาม
เมื่อถามคริสเตียนทั้งหลายว่าพวกเขามีบาปหรือไม่ พวกเขาก็คิดว่าคำถามนี้มันไม่มีประโยชน์และมองข้ามตัวเองไป อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วคำถามนี้มีความสำคัญและมีค่ายิ่งใหญ่มาก หากมนุษย์ถูกกำหนด ให้ต้องตกนรกตามบาปของพวกเขา แล้วใครจะถามคำถามนี้กับพวกเขาและหาวิธีแก้ ปัญหาให้พวกเขา? มีเพียงผู้ที่ไม่มีบาปในหัวใจของเขาหรือเธอหลังจากได้เกิดใหม่โดยข่าวประเสริฐ ของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้นที่จะถามคำถามนี้และให้คำตอบที่ถูกต้องได้ มีเพียงวิสุทธิชนผู้เกิดใหม่เท่านั้นที่สามารถทำให้ผู้มีบาปได้เกิดใหม่ โดยการนำเสียงของข่าวประเสริฐที่เป็นข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณและพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ผู้มีบาปไม่เคยมีในหัวใจมาก่อนมาสู่พวกเขาได้
พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าใครก็ตามที่วางใจในพระเยซู แต่ไม่ได้เกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้นั้นก็ไม่สามารถได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ดังนั้นท่านต้องรู้สึกขอบคุณเมื่อท่านได้เห็นผู้ที่ยอมให้ผู้มีบาปได้รับการยกความผิดบาปด้วยการนำข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณมาให้ท่าน ท่านจะได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่
 
 
ข่าวประเสริฐที่เปาโลไม่มีความละอาย
 
ในวรรคที่ 16 ข่าวประเสริฐที่อัครสาวกเปาโลไม่มีความละอายเป็นเช่นไร? เป็นข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั่นเอง เพราะว่าข่าวประเสริฐนี้เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพื่อความรอดสำหรับผู้ที่เชื่อทุกคน เปาโลเรียกว่า “ข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศ” (โรม 2:16, 16:25) และเขาเห็นว่าข่าวประเสริฐนั้นน่าภูมิใจและยิ่งใหญ่ที่สุดมากกว่าจะต้องรู้สึกละอาย เหตุผลที่เขาไม่รู้สึกละอายต่อข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณก็เพราะว่าข่าวประเสริฐนี้ได้ทำให้ผู้คนไม่มีบาปอย่างสมบูรณ์และทำลายตัวกีดขวางของบาปที่แบ่งกั้นระหว่างมนุษยชาติออกจากพระเจ้า
จะเป็นไปได้ไหมหากผู้คนต้องการชำระความผิดบาปออกไปโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของโลหิตบนไม้กางเขนเพียงอย่างเดียว? มันดูเหมือนจะเป็นไปได้ในการที่จะชำระความผิดบาปที่ได้กระ ทำจนถึงตอนนี้ด้วยความเชื่อเช่นนี้แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะชำระความผิดบาปของเราในอนาคตได้ ดัง นั้นผู้คนที่มีความศรัทธาเช่นนี้พยายามที่จะชำระความผิดบาปของพวกเขาด้วยการกล่าวคำอธิษฐานสารภาพความผิดบาปในทุกๆวัน พวกเขาสารภาพว่าหัวใจของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยบาปและพวกเขาก็เป็นผู้มีบาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คริสเตียนผู้มีบาปเหล่านี้ไม่สามารถพูดเกี่ยวกับข่าวประเสริฐกับผู้อื่นได้อย่างจริงใจเพราะว่า ‘ข่าวประเสริฐ’ ที่พวกเขามีไม่ใช่ ‘ข่าวดี’ สำหรับพวกเขาอีกต่อไป
ข่าวประเสริฐก็คือคำว่า ‘euaggelion’ ในภาษากรีก อีกนัยหนึ่งเป็นข่าวประเสริฐที่ที่มีสามารถปัดเป่าความผิดบาปทั้งหมดในโลกออก ไป ข่าวประเสริฐที่แท้จริงก็เหมือนกับระเบิดไดนาไมท์ที่กำจัดความผิดบาปทั้งหมดในโลกไป ดังนั้นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณก็มีความสามารถในการกำจัดความผิดบาปไปเหมือนกับเปาโลที่ไม่มีความละอายในข่าวประเสริฐปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าคริสเตียน ทั้งหลายมีความละอายที่จะประกาศข่าวประเสริฐ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีความชอบธรรมของพระเจ้าก็เป็นผู้ที่ยืนอยู่ได้ด้วยเกียริต์และศักดิ์ศรีเมื่อพวกเขาได้ประกาศข่าวประเสริฐออกไป
อัครสาวกเปาโลไม่เคยมีความละอายแม้แต่เล็กน้อยในขณะที่ประกาศข่าวประเสริฐ มันเป็นเพราะว่าข่าวประเสริฐที่เขาประกาศนั้นเป็นข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ซึ่งเพราะว่าข่าวประ เสริฐที่สวยงามนี้เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าในการไถ่บาปให้กับผู้ที่เชื่อทุกคน
ข่าวประเสริฐนี้คือข่าวประเสริฐที่มีฤทธิ์เดชที่ยอมให้ผู้ที่วางใจในข่าวประเสริฐได้เอาความผิดบาปของเขาหรือเธอออกไป โดยไม่ต้องสงสัยว่าใครนำข่าวประเสริฐนั้นมาให้เขาหรือเธอ บาปของโลกนี้ได้ถูกล้างออกไปอย่างสมบูรณ์หากผู้ที่ได้ฟังแล้วนำข่าวประเสริฐเข้าไปในหัวใจของเขาหรือเธอ อย่างไรก็ตามข่าวประเสริฐของโลหิตบนไม้กาง เขนเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ความรอดอย่างสมบูรณ์ตามที่ได้บอกให้ผู้คนชำระบาปดั้งเดิมของพวกเขา โดยการอธิษฐานสารภาพบาปในแต่ละวันเท่านั้น มันได้ทิ้งใบของบาปให้ค้างอยู่แก่ผู้ที่ได้ฟังด้วย
พระเยซูทรงนำบาปเพียงบางส่วนไปเพราะว่าพระองค์ทรงมีกำลังไม่เพียงพอเช่นนั้นหรือ? ตั้งแต่ที่พระเยซูทรงรู้จักมนุษย์เป็นอย่างดี พระองค์ไม่ทรงละทิ้งบาปสักอย่างเลย พระองค์ทรงนำบาปทั้งหมดไปพร้อมกับน้ำ, โลหิตและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมเชื่อว่านี่คือข่าวประเสริฐที่สวยงามที่ให้ความรอดจากความผิดบาปอย่างสมบูรณ์แก่ทุกคนที่ได้ยินและเชื่อในข่าวประเสริฐของบัพติศมาของพระเยซูและพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน
ดังนั้นข่าวประเสริฐได้ให้พลังเช่นเดียวกันนี้แก่ทุกคนรวมทั้งพวกยิวหรือพวกกรีกด้วย ข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณยอมให้ความรอดจากความผิดบาปแบบเดียวกันแก่ทุกคนที่วางใจในพระเยซูเมื่อข่าวประเสริฐได้รับการเผยแพร่ไปสู่พวกเขา อีกนัยหนึ่งเมื่อ ผู้ใดผู้หนึ่งได้รับบางสิ่งที่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ เขาหรือเธอก็จะได้รับความโกรธเคืองจากพระเจ้าแทน ดังนั้นเปาโลจึงกล่าวว่า “แต่แม้ว่าเราเองหรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประ เสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วก็ให้ผู้นั้นถูกสาป แช่ง” (กาลาเทีย 1:8) เปาโลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่ามีเพียงข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้นที่เป็นข่าวประเสริฐที่แท้จริงกว่าข่าวประเสริฐอื่น
ทุกคนนั้นมีโอกาศที่จะได้ยินข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นพวกชนชาติอื่นๆ, พวกยิว, หรือผู้ที่เชื่อในศาสนาอิสลาม, ศาสนาพุทธ, ลัทธิเต๋า, พระเจ้าพระอาทิตย์ หรือใดๆก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้จัดเตรียมโอกาสในความรอดจากความผิดบาปทั้งหมดให้แก่พวกเขา ดังนั้นเราควรจะนำข่าวไปว่าพระเยซู คริสต์ คือพระเจ้า ที่ทรงสร้างจักรวาลนี้ ซึ่งพระ องค์เสด็จมายังโลกนี้ในสภาพเนื้อหนังของมนุษย์เพื่อช่วยเราให้รอดโดยนำบาปทั้งหมดของเราไปจากการรับบัพติสมาจากยอห์น แล้วพระองค์ก็ทรงได้รับการพิพากษาความผิดบาปของเราบนไม้กางเขน
ดังนั้นอัครสาวกเปาโลจึงไม่รู้สึกละอายในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ แม้ว่าข่าวประเสริฐของไม้กางเขนนั้นเป็นข่าวประเสริฐที่ยังน่าละอายอยู่ แต่ก็ยังมีเสียงและพลังของข่าวประเสริฐที่ไหลเวียนอยู่ด้วยความน่าภูมิใจและมีเกียริต์ แต่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั้นไม่น่าละอายใดๆเลย ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ได้รับพระวิญ ญาณบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ด้วยความศรัทธาในความจริงที่ว่าเขาหรือเธอได้มาเป็นบุตรของพระเจ้า ผมพยายามบอกกับท่านอีกครั้งหนึ่งว่าข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่สวยงามไม่สามารถเป็นข่าวประเสริฐที่น่าละอายได้เลย อย่างไรก็ตามข่าวประเสริฐที่เชื่อเพียงโลหิตบนไม้กางเขนเพียงอย่างเดียวนั้นก็น่าอะอายอยู่
คริสเตียนทั้งหลายรู้สึกละอายใช่ไหมเวลาที่ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐของโลหิตบนไม้กาง เขนออกไป? ท่านรู้สึกละอายเมื่อท่านนำและเชื่อเพียงข่าวประเสริฐที่มีเพียงโลหิตที่ไม่มีบัพติศมาของพระเยซูด้วย เพราะท่านเกิดความละอายที่จะประกาศข่าวประเสริฐที่ไม่มีประโยชน์อะไรออกไป ท่านมักจะร้องขอต่อพระผู้เป็นเจ้าหรืออธิษฐานอย่างหนักด้วยภาษาแปลกๆเพื่อให้เกิดความรู้สึกก่อนที่ท่านจะเดินออกไปบนถนนแล้วตะโกนว่า “เชื่อในพระเยซู เชื่อในพระเยซู!”
นี่เป็นบางสิ่งที่ทำได้เพียงความรู้สึกท่วมท้นแต่บางสิ่งไม่สามารถทำได้ด้วยจิตใจที่เป็นปกติ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนเหล่านั้นที่เชื่อในโลหิตบนไม้กางเขนเพียงอย่างเดียวตะโกนอย่างเอะอะและสร้างความสับสนวุ่นวายเมื่อพวกเขาออกมาชุมนุมเพื่อพวกอีแวนเจอร์ลิสต์ เมื่อใช้โทรโข่งเพื่อปิดปากของพวกเขา พวกเขาก็ตะโกนออกมาว่า “พระเยซู, ไปสวรรค์, ไม่เชื่อ, ไปนรก” อย่างไรก็ตามผู้เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณก็นำข่าวประเสริฐออกไปในรูปแบบที่มีระดับ ในขณะที่เปิดพระคัม ภีร์ เขาก็ดื่มชาแล้วก็เริ่มสนธนากับผู้อื่น
 
 
ได้กล่าวเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของความชอบธรรมของพระเจ้าเอาไว้ว่าอ ย่างไร?
 
ในวรรคที่ 17ได้กล่าวว่าอะไรได้แสดงออกไว้ในข่าวประเสริฐของพระคริสต์? “ความชอบธรรมของพระเจ้า” นั่นเองที่เปิดเผยในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ความชอบธรรมของพระเจ้าได้แสดง ออกโดยเริ่ม ต้นก็ความเชื่อสุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่เขียนไว้แล้วว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ ข่าวประเสริฐที่นำโลหิตบนไม้กางเขนมาเพียงอย่างเดียวไม่มีความชอบธรรมของพระเจ้า
พี่น้องทั้งหลาย ถ้าได้กล่าวเอาไว้ว่าใครที่ได้ทำการสารภาพความผิดบาปประจำวันของเขาหรือเธอในทุกๆวัน แม้ว่าเขาหรือเธอได้รับการยกความผิดบาปดั้งเดิมของตัวเองแล้ว จากนั้นคนๆนั้นก็ค่อยๆเป็นผู้บริสุทธิ์ แล้วก็เป็นผู้ที่ชอบธรรมในท้ายที่สุด แล้วความเชื่อชนิดนี้มีความ ชอบธรรมของพระเจ้าอยู่มั๊ย? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ความชอบธรรมของพระเจ้าได้แสดงออกมา สิ่งที่ความชอบธรรมของพระเจ้าได้แสดง ออกนั้นพูดถึงสิ่งที่สมบูรณ์ ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณได้กล่าวถึงข่าวประเสริฐที่สมบูรณ์จากจุดเริ่มต้นจนสุดท้าย
คนของท่านทำการอธิษฐานสารภาพบาปประจำวันเพราะว่าท่านทำบาปทุกวัน ดังกับท่านต้องทำปลูกต้นมะเดื่อไว้เป็นเครื่องปกปิดความละอายภายในตัวท่านทุกๆวัน หรือยิ่งกว่านั้นทุกอาทิตย์หรือทุกเดือน คนที่เป็นผู้มีบาปซ้ำไปซ้ำมาโดยการอธิษฐานสารภาพบาปทุกๆวันก็เหมือน กับปกปิดความละอายส่วนตัวของเขาหรือเธอด้วยใบมะเดื่อ นี่คือสถานะของการมีชีวิตอยู่ด้วยความศรัทธาทางศาสนาของผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของโลหิตบนไม้กางเขนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขาก็เป็นคนโง่คนหนึ่งที่ไม่ต้องการสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่พระเจ้าประทานให้อย่างไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย แต่กลับมีความสุขในการสวมใบมะเดื่อแทน
พระโลหิตของพระเยซูบนไม้กางเขนเป็นผลของการรับบัพติศมาของพระเยซู และไม่ใช่พระโลหิตที่พระเยซูทรงหลั่งบนไม้กางเขนที่นำความผิดบาปของเราออกไป พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปของเราไปตอนที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา จากนั้นก็ทรงแบกรับความผิดบาปของโลกนี้บนไม้กางเขน และสิ้นพระชนม์เพื่อชดใช้ความผิดบาปทั้งหมดในโลก ดังนั้นไม้กางเขนเป็นผลของบัพติศมาที่พระองค์ทรงรับ ตั้งแต่ที่พระเยซูทรงนำความผิดบาปของเราไปผ่านบัพติศมาของพระองค์ การหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขนจึงเป็นการกระทำการชดใช้บาปครั้งสุดท้ายเพื่อความผิดบาปทั้งหมดของเรา พระเยซูทรงรับความสาปแช่งของบาปบนไม้กางเขนเนื่องจากพระองค์ทรงรับบัพติศมา
แล้วเราได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าได้อย่างไร? เรารับความชอบธรรมได้โดยการได้รู้จักและวางใจในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ท่านอาจจะถามผมว่า “คุณเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณหรือไม่?” ผมจะตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจนและโดยทันทีว่า “เชื่อ” ความลับของการได้รับความชอบธรรมของพระเจ้าก็คือการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ
เหตุผลก็คือข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั้นคือความจริงและข่าวประเสริฐก็ได้แสดงความรักและความชอบธรรมของพระเจ้าออกมา และก็ยังเป็นข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่มีการยกความผิดบาปให้กับมนุษยชาติอย่างเสรี, มีหนทางในการเป็นบุตรของพระองค์, มีพระพรของชีวิตนิรันดร์ที่สามารถรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ และมีพระพรเกี่ยวกับฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายจิตวิญญาณทางโลกอยู่
ท่านเปาโลกล่าวว่าความชอบธรรมของพระเจ้าได้แสดงไว้อย่างสมบูรณ์ในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระองค์ทรงประกาศ ดังนั้นการวางความชอบธรรมของมนุษย์โดยไม่รู้จักความ ชอบธรรมของพระเจ้าก็เหมือนกับการทำบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นข่าวประเสริฐที่เชื่อเพียงโลหิตบนไม้กางเขนที่ไม่มีความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่นั้นไม่ถูกต้อง
ความชอบธรรมของพระเจ้าก็เหมือนกับเสียงของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระองค์ประทานมาให้ ทั้งพันธสัญญาฉบับเก่าและฉบับใหม่นั้นต่างก็ช่วยเราให้รอดจากบาปของเรา พันธสัญญาฉบับเก่าจัดเตรียมเอาไว้สำหรับพันธสัญญาฉบับใหม่ และพันธสัญญาฉบับใหม่ได้ทำให้คำสัญญาที่อยู่ในพันธสัญญาฉบับเก่าสมบูรณ์ พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปของโลกนี้โดยประทานความจริงของข่าวประเสริฐที่ได้แสดงความชอบธรรมของพระองค์ไว้อย่างสมบูรณ์มาให้ ดังนั้นพระองค์ทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดจากความผิดบาปทั้งหมด
ตอนนี้โลกทั้งโลกควรจะกลับไปสู่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณข่าวประเสริฐเดียวที่ช่วยผู้คนให้รอดจากความผิดบาปได้ก็คือข่าวดั้งเดิมของน้ำและพระวิญญาณ พี่น้องทั้งหลายโลกทั้งโลกจะต้องกลับไปสู่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระโลหิต พวกเขาต้องกลับไปสู่ข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้ที่มีความชอบธรรมของพระเจ้า
เหตุผลก็คือข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนั้นคือความจริงที่ช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปได้ มีเพียงข่าวประเสริฐที่มีความ ชอบธรรมของพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยเราให้รอด, ทำให้เราไม่มีบาป และทำให้เราเป็นบุตรของพระเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในหัวใจของเราปกป้องคนของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้อธิษฐานเพื่อเรา, ประทานพรให้เรา, อยู่กับเราเสมอและประทานชีวิตนิรันดร์ให้เราเป็นของขวัญ
มันน่ายั่วเย้าที่จะเห็นว่ามีหลายคนไม่ได้สนใจต่อข่าวประเสริฐนี้ โดยผู้เขียนหวังจะให้ทุกคนเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณโดยการมีความเข้าใจในบัพติศมาของพระเยซูอย่างชัดเจน บัพติศมาที่พระเยซูทรงได้รับจากยอห์นนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ยอมรับเพราะพระ องค์ถ่อมตน เหตุผลที่ทรงรับบัพติสมาก็เพื่อที่จะแบกรับเอาความผิดบาปของโลกนี้ทั้งหมดไว้ ยอห์นผู้ยิ่งใหญ่ได้วางมือของเขาลงบนศีรษะของพระเยซูเมื่อเขาให้บัพติศมากับพระองค์ รูปแบบนี้จึงเสมอเทียบเท่ากับมือของมหาปุโรหิตที่วางบนหัวของสัตว์บูชาที่ปราศจากมลทินในพันธสัญ ญาฉบับเก่า (เลเวนิติ 16:21) พระเยซูสิ้นพระ ชนม์บนไม้กางเขนก็เพื่อต้องการแบกรับเอาความผิดบาปทั้งหมดไว้กับพระองค์ และก็เสมอเทียบ เท่าได้รับเครื่องบูชาไถ่บาปได้หลั่งเลือดและตายหลังจากผ่านการวางมือ
ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวประเสริฐอื่นในขณะที่ห่างไกลออกจากอีกข่าวประเสริฐซึ่งมีมาแต่เดิมอยู่นั้นมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้ได้ถูกกล่าวถึงทั้งในพันธสัญญาฉบับเก่าและฉบับใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดและเป็นสิ่งแรกที่พระเยซูทรงทำเมื่อเสด็จมายังโลกนี้ก็คือการรับบัพติศมาจากยอห์น มันไม่ถูกต้องอย่างมากหากท่านเชื่อเพียงสัญลักษณ์ของการรับบัพติศมาและคิดเพียงว่าพระเยซูทรงรับบัพติศมาเพราะพระองค์ทรงถ่อมตนเท่านั้น
คนนอกรีตคือคนชนิดไหน? ในทิตัส 3:10 เขียนเอาไว้ว่า “คนใดๆที่ยุให้แตกนิกายกัน เมื่อได้ตักเตือนเขาหนหนึ่งและสองหนแล้ว ก็จงปฏิเสธ ด้วยรู้แล้วว่าคนเช่นนั้นเป็นคนนอกลู่นอกทางและบาปหนา เขาปรับโทษตัวเขาเอง” คนที่ยุให้แตกนิกายกันคือคนที่ปรับโทษตัวเอง คนที่ปรับโทษตัวเองหมายความว่าผู้นั้นได้ยอมรับและสารภาพว่าเขาหรือเธอมีความผิดบาป ดังนั้นคริสเตียนที่กล่าวว่า “ฉันเป็นผู้มีบาป” ก็คือคนที่ยุให้แตกนิกาย ซึ่งก็คือคนนอกรีตเหมือนดังที่เขียนเอาไว้ว่า “คนใดๆที่ยุให้แตกนิกายกัน เมื่อได้ตักเตือนเขาหนหนึ่งและสองหนแล้ว ก็จงปฏิเสธ”
เนื่องจากคริสเตียนประเภทนี้วิปริตและเสื่อมลง วิสุทธิชนที่ไม่มีความผิดบาปจึงไม่เข้าใกล้คนนอกรีตเช่นนี้ เขาเป็นผู้ที่ปรับโทษตัวเองเพราะว่าความศรัทธาและชีวิตทางศาสนาของเขาเองนั้นเสื่อมลงเรื่อยๆ ผู้ที่ได้ทำบาปอย่างไม่น่าให้อภัยได้ต่อพระพักตร์พระเจ้า คือผู้ที่ไม่ต้องการจะไร้ความผิดบาปด้วยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ แต่ยังคงทำบาปด้วยการปฏิเสธความรอดอย่างสมบูรณ์ต่อพระพักตร์พระเจ้าในขณะที่กล่าวว่าเขาหรือเธอยังคงเป็นผู้มีบาป คนใดๆที่ปรับโทษบาปตัวเองแม้ว่าเขาหรือเธอวางใจในพระเยซู แต่ก็ยังมีความผิดบาปอยู่แล้วเรียกตัวเองว่าผู้มีบาปเขาหรือเธอก็เป็นคนนอกรีตที่ต้องตกนรก
คริสเตียนบางคนติดสติกเกอร์ไว้ที่หลังรถของตัวเองว่า “มันเป็นความผิดของฉัน” ดูเหมือนกับว่าเป็นคำกล่าวที่สุภาพและอบอุ่นเมื่อมองในสายตาของมนุษย์ แต่ในความจริงมันหมายความว่าเมื่อมันเป็นความ ผิดของผู้ใดแล้วคนผู้นั้นก็ต้องตกนรก, เป็นคนที่ยุให้แตกนิกายกัน และได้รับการสาปแช่งจากความผิดของตัวเอง เมื่อผู้ใดกล่าวว่า “มันเป็นความผิดของฉันเอง” แล้วมันก็ผิดธรรมดาที่คนผู้นั้นจะดำเนินชีวิตด้วยคุณความดี อย่างไรก็ตามผู้ที่คิดว่าเขาหรือเธอสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างถูกต้องเพื่อ สนุบสนุน คำกล่าวเช่นนั้นก็จะเป็นการท้าทายพระวจะของพระเจ้าที่ได้ระบุไว้ว่ามนุษย์คือเมล็ดพันธ์ของความชั่วช้า ผู้ที่ไล่ตามความคิดเช่นนี้จะได้รับการสาบแช่งทุกชนิดในท้ายที่สุด
มีคนประเภทที่ปรับโทษตัวเองอยู่รอบๆท่านไหม? ถ้ามีท่านควรฟังคำสอนของโรม บทที่ 3ของผม ที่กล่าวว่าการยกความผิดบาปไม่ได้อ้างอิงไปถึงลัทธิของการพิพากษาให้กระจ่าง ในบทโรมได้พูดถึงสิ่งนี้อย่างละเอียดมาก อัครสาวกเปาโลรู้ล่วงหน้าว่าผู้คนจะพูดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง และก็จะกล่าวว่าการเป็นผู้ไม่มีบาปก็คือการไม่ทำบาปอย่างแท้จริงและเรียกผู้มีบาปว่าชอบธรรมด้วย เขาจึงยืนยันอย่างชัดเจนว่ามีเพียงข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้นที่เป็นความจริง ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่ผู้ที่เชื่อเพียงโลหิตบนไม้กางเขนจะเพิกเฉยและโง่เขลาขณะที่อ่านบทโรม
จดหมายของอัครสาวกเปาโรมที่เขียนไปถึงกรุงโรมนั้นเป็นคัม ภีย์ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะได้ยืนยันข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ใครก็ตามควรจะเป็นผู้ที่ชอบธรรมหลังจากวางใจในพระเยซูแล้ว แม้ว่าเขาหรือเธอจะเป็นผู้มีบาปโดยดั้งเดิมก่อนหน้านั้น ใครก็ตามควรเป็นคนชอบธรรมที่ไม่มีความผิดบาปในหัวใจของเขาอย่างแท้จริง นี่คือวิธีที่จะได้รับความเชื่อที่ถูกต้องชนิดนี้นั่นเอง
ผมหวังว่า หากในขณะนี้ความเชื่อของผู้คนยังไม่สมบูรณ์ ความเชื่อของพวกเขาก็จะสมบูรณ์อย่างถึงที่สุดเมื่อพวกเขาเปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อฟังพระวจนะของน้ำและพระวิญญาณผ่านคริสจักรที่เกิดใหม่ โปรดศึกษาเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณผ่านคำสอนต่างๆเหล่านี้ให้มากขึ้น และยืนยันในพระวจนะของความจริง
ผมเชื่อว่าพระเจ้าจะประทานพระพรของสวรรค์อันมีค่ามาให้แก่พวกเรา