Search

布道

เรื่องที่ 10: วิวรณ์ (ข้อคิดเกี่ยวกับวิวรณ์)

[บทที่ 10-1] ท่านทราบไหมว่าเมื่อไหร่คือช่วงเวลาของการปลื้มปีติ? (วิวรณ์ 10:1–11)

ท่านทราบไหมว่าเมื่อไหร่คือช่วงเวลาของการปลื้มปีติ?
(วิวรณ์ 10:1–11)
“และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุมตัวท่าน และมีรุ้งบนศีรษะท่าน และหน้าท่านเหมือนดวงอาทิตย์ และเท้าท่านเหมือนเสาไฟ ท่านถือหนังสือ เล็กๆม้วนหนึ่งซึ่งคลี่อยู่ในมือของท่าน ท่านวางเท้าขวาของท่านบนทะเล และเท้าซ้ายของท่านบนบก ท่านร้องเสียงดังดุจเสียงสิงโตคำราม เมื่อท่านร้องแล้ว เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดเสียงก็ดังขึ้น เมื่อเสียงฟ้าร้อง ทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงลงมือจะเขียน แต่ข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงประทับตราปิดข้อความซึ่งฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้ร้องนั้น จงอย่าเขียนข้อความเหล่านั้น’ ฝ่ายทูตสวรรค์ องค์ที่ข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้นได้ชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า และปฏิญาณโดยอ้างพระนาม ของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ผู้ได้ ‘ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในฟ้าสวรรค์ นั้น ทรงสร้างแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในแผ่นดินโลกนั้น และทรงสร้างทะเล กับสรรพสิ่งซึ่งมี อยู่ในทะเลนั้น’ ว่า จะไม่มีการเนิ่นช้าอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าในวันแห่งเสียงของทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดนั้น คือ เมื่อท่านจะเป่าแตรขึ้น ความลึกลับของพระเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้รับ ใช้ของพระองค์นั้นก็จะสำเร็จ และพระสุรเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินจากสวรรค์นั้นตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า ‘จง ไปรับหนังสือเล็กๆม้วนนั้นที่คลี่อยู่ในมือของทูตสวรรค์องค์ที่ยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้น’ ข้าพเจ้า จึงไปหาทูตสวรรค์องค์นั้นและกล่าวแก่ท่านว่า ‘ขอหนังสือม้วนเล็กนั้นเถิด’ ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า ‘เอา ไปเถิด และกินมันเสีย มันจะทำให้ท้องเจ้าขม แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้า มันจะหวานเหมือนน้ำผึ้ง’ ข้าพ เจ้ารับหนังสือม้วนเล็กนั้นจากมือทูตสวรรค์แล้วก็กินเข้าไป ขณะที่มันอยู่ในปากของข้าพเจ้านั้นมันก็ หวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อข้าพเจ้ากินมันเข้าไปแล้วท้องข้าพเจ้าก็ขม และท่านบอกข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าต้อง พยากรณ์อีก ต่อชนชาติทั้งหลาย บรรดาประชาชาติ ภาษา และกษัตริย์.’” 
 


คำอธิบาย

 
ข้อความสำคัญของบทนี้นั้นพบในวรรคที่ 7 “แต่ว่าในวันแห่งเสียงของทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดนั้น คือเมื่อท่านจะเป่าเตรขึ้น ความลึกลับของพระเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้ รับใช้ของพระองค์นั้นก็จะสำเร็จ.” อีกนัยหนึ่งก็คือการปลื้มปีติจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้นั่นเอง. 
 
วรรคที่ 1: และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆคลุม ตัวท่าน และมีรุ้งบนศีรษะท่าน และหน้าท่านเหมือนดวงอาทิตย์ และเท้าท่านเหมือนเสาไฟ.
ทูตสวรรค์ที่ปรากฏในบทที่ 10 คือผู้จัดการของพระเจ้าผู้ที่เป็นพยานกับภาระกิจของพระองค์ที่ กำลังจะมาถึง การปรากฎของทูตสวรรค์นี้แสดงให้เห็นว่าพลังและความงดงามของพระเจ้านั้นเป็นเช่น ใด มันแสดงเช่นเดียวกันว่าพระเจ้าจะทรงทำลายทะเลของโลกนี้ และจะมีการเป็นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติที่ยกเหล่าวิสุทธิชนขึ้นสวรรค์. 
 
วรรคที่ 2–3: ท่านถือหนังสือ เล็กๆม้วนหนึ่งซึ่งคลี่อยู่ในมือของท่าน ท่านวางเท้าขวาของท่าน บนทะเล และเท้าซ้ายของท่านบนบก ท่านร้องเสียงดังดุจเสียงสิงโตคำราม เมื่อท่านร้องแล้ว เสียงฟ้าร้อง ทั้งเจ็ดเสียงก็ดังขึ้น. 
พระเจ้าทรงทำทุกสิ่ทุกอย่างตามแผนการของพระองค์ เมื่อวันสุดท้ายมาถึงพระองค์จะทรง ทำลายทั้งบนบกและบนทะเล อีกนัยหนึ่งก็คือแรกสุดแล้วพระผู้เป็นเจ้าของเราจะทรงทำลายบนบก และบนทะเล.
ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าจะทรงทำให้แผนการทุกแผนที่พระองค์ทรงวางเอาไว้สำเร็จ และแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของภารกิจของพระองค์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเมื่อเกิดจำนวนถึง เจ็ดก็หมายความถึงความสมบูรณ์ พระเจ้าทรงใช้เลขนี้เมื่อพระองค์ทรงทำภารกิจของพระองค์ทั้งหมด และที่เหลือสมบูรณ์แล้ว ก็เหมือนกับข้อความนี้ที่บอกเราว่าพระเจ้าจะทรงนำเอาการทำลายมาในช่วง เวลาสุดท้ายหรืออีกนัยหนึ่งก็คือจะทรงทำลายโลกนี้แน่นอน. 
 
วรรคที่ 4: เมื่อเสียงฟ้าร้อง ทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงลงมือจะเขียน แต่ข้าพเจ้าได้ยินพระ สุรเสียงจากสวรรค์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “จงประทับตราปิดข้อความซึ่งฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้ร้องนั้น จงอย่าเขียน ข้อความเหล่านั้น.” 
พระเจ้าทรงรับสั่งให้ยอห์นอย่าบันทึกเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดเพื่อซ่อนการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิ ชนจากความไม่ปลอดภัย ในเวลานั้นพระเจ้าทรงซ่อนภารกิจของพระองค์จากผู้ที่ไม่เชื่อ เพราะว่าพวก เขาผู้เป็นดั่งศัตรูของพระเจ้าได้เกลียดชังและข่มเหงเหล่าวิสุทธิชนของพระองค์. 
ในช่วงเวลาของโนอาห์ ตอนที่พระเจ้าทรงทำลายโลกนี้ด้วยน้ำ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยการมา ถึงของน้ำให้กับโนอาห์ทราบเท่านั้น แม้แต่ตอนนี้พระเจ้าทรงประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณไปทั่วโลกและประทานอาณาจักรสวรรค์ให้แก่ผู้ที่เชื่อ แต่นอกจากเหล่าผู้ที่มีความเชื่อที่แท้จริงนี้ แล้วพระองค์ก็ไม่ทรงเปิดเผยการมาถึงของการปลื้มปีติให้ผู้ใดเลย พระเจ้าทรงสร้างโลกใหม่ในอาณา จักรของพระองค์เพื่อคนชอบธรรมและพระองค์มีพระประสงค์ที่จะประทับอยู่ที่นั่นกับพวกเขา. 
 
วรรคที่ 5–6: ฝ่ายทูตสวรรค์ องค์ที่ข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้นได้ชูมือขึ้นสู่ ท้องฟ้า และปฏิญาณโดยอ้างพระนาม ของพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ ผู้ได้ ‘ทรงสร้างฟ้า สวรรค์ และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในฟ้าสวรรค์ นั้น ทรงสร้างแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในแผ่นดิน โลกนั้น และทรงสร้างทะเล กับสรรพสิ่งซึ่งมี อยู่ในทะเลนั้น’ ว่า จะไม่มีการเนิ่นช้าอีกต่อไปแล้ว 
ทั้งหมดนี้ได้ปฏิญาณโดยอ้างพระนามของพระเจ้า ตามปฏิญาณสุดท้ายในทุกๆสิ่งที่ได้ทำไว้ ไม่ใช่ด้วยนามของใครผู้ใดผู้หนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยพระนามของผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือ พระเจ้าทรง เป็นผู้รับประกันพระองค์สุดท้ายสำหรับเหล่าวิสุทธิชนของช่วงเวลาสุดท้ายและเหล่าผู้ที่ได้เป็นวิสุทธิ ชนของพระองค์เรียบร้อยแล้วทั้งหมด. 
ทูตสวรรค์จึงได้ปฏิญาณเอาไว้ณ ที่นี้ ด้วยพระผู้ทรงฤทธานุภาพว่าการปลื้มปีติจะมาถึงอย่างแน่ นอน ปฏิญาณนี้ได้บอกเราว่าพระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่และจะทรงประทับอยู่ กับเหล่าวิสุทธิชนของพระองค์ในโลกใหม่นี้ มันได้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างโลกใหม่เนิ่น ช้าเลย แต่จะทรงทำให้มันสมบูรณ์เพื่อเหล่าวิสุทธิชนในไม่ช้านี้แล้ว. 
 
วรรคที่ 7: แต่ว่าในวันแห่งเสียงของทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดนั้น คือ เมื่อท่านจะเป่าแตรขึ้น ความ ลึกลับของพระเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้รับ ใช้ของพระองค์นั้นก็จะ สำเร็จ. 
วรรคนี้ได้บอกกับเราว่าเมื่อได้เป่าแตรที่เจ็ดในความยากลำบากสุดท้ายขึ้น ก็จะเกิดความปลื้ม ปีติขึ้น สิ่งที่ผู้คนบนโลกนี้สงสัยที่สุดก็คือว่าเมื่อใดการปลื้มปีติจะเกิดขึ้น. 
วิวรณ์ 10:7 บอกเราว่า “แต่ว่าในวันแห่งเสียงของทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดนั้น คือ เมื่อท่านจะเป่า แตรขึ้นความลึกลับของพระเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้รับ ใช้ของพระ องค์นั้นก็จะสำเร็จ.” ประโยคที่ว่า “ความลึกลับของพระเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระ องค์นั้นก็จะสำเร็จ” หมายความว่าอะไร? หมายความว่าข่าวประเสริฐของน้ำ และพระวิญญาณนั้นเป็นข่าวประเสริฐที่แท้จริง และผู้ใดก็ตามที่เชื่อก็จะได้รับการลบความผิดบาปและ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเสด็จมาสู่หัวใจของเขาหรือเธอ การปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนก็จะมาอย่างแน่ นอนเมื่อมีเสียงของแตรที่เจ็ด. 
หลังจากสิ้นสุดภัยพิบัติของแตรที่เจ็ด เหล่าวิสุทธิชนจะทนทุกข์ยากในช่วงปฏิปักษ์ต่อพระ คริสต์ ซึ่งจะปรากฎในโลกนี้และปกครองเหนือโดยต้องการให้ทุกคนได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้าย หลังจาก นั้นไม่นานเมื่อทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตร ทั้งเหล่าวิสุทธิชนที่ทนทุกข์ยากและรอดชีวิตผู้ปก ป้องความเชื่อของ ตนก็จะเป็นขึ้นมาจากความตายและและปลื้มปีติโดยพร้อมกัน จากนั้นภัยพิบัติของ ขันทั้งเจ็ด ซึ่งเป็นภัยพิบัติสุดท้ายของมนุษยชาติจะเริ่มขึ้น ในตอนนี้เหล่าวิสุทธิชนจะไม่อยู่บนโลกนี้อีก ต่อไปแล้ว แต่จะอยู่ ในสวรรค์พร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าหลังจากปลื้มปีติแล้ว เหล่าวิสุทธิชนจะต้องทราบ ว่าการปลื้มปีติของเขาจะเกิดขึ้นเมื่อทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตรสุดท้าย. 
อัครสาวกเปาโลก็บอกเราเช่นกันใน 1 เธสะโลนิกา 4 ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงกู่ก้องด้วยเสียงแตรของพระเจ้า คริสเตียนหลายคนคิดว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมายังโลกนี้เมื่อ เกิดการปลื้มปีติขึ้น แต่ไม่ใช่กรณีนี้ เมื่อเกิดการปลื้มปีติ พระผู้เป็นเจ้าของเาจะไม่เสด็จมายังโลกนี้ แต่ จะเสด็จมาบนฟ้าอากาศ อีกนัยหนึ่งพระองค์จะทรงทำให้การปลื้มปีติสมบูรณ์โดยการยกเหล่าวิสุทธิชน ขึ้นและรับพวกขาขึ้นสู่ฟ้าอากาศไป. 
ด้วยเหตุนี้ คริสเตียนเหล่านี้ผู้คิดอย่างผิดๆว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมายังโลกนี้ในตอนที่เกิดการ ปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนที่แท้จริง พวกเขาควรกำจัดความเข้าใจผิดๆนี้ออกไปเสีย และควรจะทราบถึง ความจริงและเชื่ออย่างสมบูรณ์ว่าการปลื้มปีติของวิสุทธิชนจะมาถึงเมื่อทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตร. 
”ความลึกลับของพระเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระ องค์นั้นก็จะสำเร็จ.” ท่านจะต้องตระหนักว่าความลึกลับของพระเจ้านั้นหมายความถึงการปลื้มปีติของ เหล่าวิสุทธิชนที่จะมาถึงพร้อมกับเสียงของภัยพิบัติของแตรที่เจ็ด ตอนนี้พระเจ้าทรงทำลายโลกที่หนึ่ง และทรงค้นพบโลกที่สองแล้ว ในขณะที่อยู่บนโลกนี้ พระเจ้าจะทรงสถิตและดำรงอยู่พร้อมกับผู้ที่ได้ เกิดใหม่โดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ และมีความเชื่ออย่างสมบูรณ์ในคำสัญญา ทั้งหมดที่พระองค์ผู้ทรงฤทธาได้ทรงทำกับคนของพระองค์ นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งจักรวาลที่พระองค์ทรงกำหนดในพระองค์เองเพื่อเหล่าวิสุทธิชน.
เมื่อทูตสวรรค์เป่าแตรที่เจ็ด ภัยพิบัติของแตรที่เจ็ดก็จะสิ้นสุด และภัยพิบัติสุดท้ายของขันทั้งเจ็ด ก็จะตามมา พระวจนะบอกเราว่า “แต่ว่าในวันแห่งเสียงของทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดนั้น คือ เมื่อท่านจะเป่า แตรขึ้นความลึกลับของพระเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสไว้แก่พวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระ องค์นั้นก็จะสำเร็จ.” คามลับของพระเจ้า ณ ที่นี้ก็คือว่าเหล่าวิสุทธิชนจะปลื้มปีติพร้อมกับแสียงแตร ของทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ด. 
ตอนนี้เหล่าวิสุทธิชนทั้งหลายมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ในการมีชีวิตอยู่ใน โลกที่ดีกว่านี้ พวกขาจะต้องทนทุกข์ยาก เป็นขึ้นมาจากความตาย และปลื้มปีติ จากนั้นพวกเขาเท่านั้นที่ ได้รับเชิญ ให้ไปรวมงานเลี้ยงแต่งงานของพระเมษโปดกพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้า และครองอาณาจักร พร้อมกับพระองค์เป็นพันๆปี หลังจากอาณาจักรพันปี, ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์, ซาตาน และผู้ที่ร่วมสา มัคคีธรรมของเขาทั้งหมดจะได้รับการพิพากษานิรันดร์ของพระเจ้า และจากนั้นเป็นต้นมา เหล่าวิสุทธิ ชนจะได้รับพรในการมีชีวิตพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์ของพระองค์ นี่คือความลึกลับของพระเจ้า เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเปิดเผยความลึกลับนี้แก่พวกเราผู้ที่มีความเชื่อที่แท้จริง พระเจ้าทรง บอกเราว่าพระองค์จะทรงทำให้คำสัญญาเหล่านี้สมบูรณ์เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตร.
 
วรรคที่ 8: และพระสุรเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินจากสวรรค์นั้นตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จง ไปรับหนัง สือเล็กๆม้วนนั้นที่คลี่อยู่ในมือของทูตสวรรค์องค์ที่ยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้น.” 
พระเจ้าทรงบอกเราว่าเหล่าวิสุทธิชนและผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐของน้ำ และพระวิญญาณต่อไปจนถึงวันสุดท้าย ข่าวประเสริฐนี้เกี่ยวกับความจริงของการยกความผิดบาป การทนทุกข์ยาก การเป็นขึ้นมาจากความตาย การปลื้มปีติ และอาหารเลี้ยงงานแต่งงานของพระเมษโป ดก สำหรับเหล่าวิสุทธิชนและคนรับใช้ของพระเจ้าที่ประกาศข่าวประเสริฐไปจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย จะ ต้องสนับสนุนพระวจนะของพระเจ้าด้วยความเชื่อของตนก่อนการเกิดขึ้นของความยากลำบากใหญ่ยิ่ง พระเจ้ามีพระประสงค์ความเชื่อสองแบบจากเรา ความเชื่อแรกนั้นคือการเกิดใหม่ และความเชื่อที่สอง คือความเชื่อที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับการทนทุกข์ยากที่ปกป้องความเชื่อที่แท้จริงของเรา. 
 
วรรคที่ 9: ข้าพเจ้า จึงไปหาทูตสวรรค์องค์นั้นและกล่าวแก่ท่านว่า “ขอหนังสือม้วนเล็กนั้นเถิด.” ท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า “เอา ไปเถิด และกินมันเสีย มันจะทำให้ท้องเจ้าขม แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้า มัน จะหวานเหมือนน้ำผึ้ง.” 
วิสุทธิชนและคนรับใช้ของพระเจ้าจะต้องสนับสนุนความเชื่อของพระวจนะของพระเจ้าและ เผยแพร่มันออกไปให้แก่ผู้อื่น วรรคนี้ได้สอนเราว่า แม้ว่าหัวใจของจิตวิญญาณผู้ที่เชื่อในพระวจนะของ พระเจ้านั้นหวาน แต่การประกาศข่าวประเสริฐของความเชื่อนี้ให้แก่จิตวญญาณที่สูญเสียนั้นไม่ใช่ ภารกิจที่ง่ายเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นตรงนี้. 
 
วรรคที่ 10: ข้าพ เจ้ารับหนังสือม้วนเล็กนั้นจากมือทูตสวรรค์แล้วก็กินเข้าไป ขณะที่มันอยู่ ในปากของข้าพเจ้านั้นมันก็ หวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อข้าพเจ้ากินมันเข้าไปแล้วท้องข้าพเจ้าก็ขม. 
เมื่อยอห์นได้กินพระวจนะของพระเจ้าในความเชื่อ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข แต่ใน การประกาศความจริงที่ได้รับการยืนยันโดยพระวจนะของพระเจ้าให้แก่ผู้ที่ไม่เชื่อในความจริงนั้นทำให้ ยอห์นเจอกับเรื่องยาก. 
 
วรรค ที่ 11: และท่านบอกข้าพเจ้าว่า “เจ้าต้องพยากรณ์อีกต่อชนชาติทั้งหลาย บรรดาประชา ชาติ ภาษา และกษัตริย์.” 
วิสุทธิชนจะต้องพยากรณ์อีกต่อทุกๆคนว่าพระพรของพระเจ้าได้มาผ่านข่าวประเสริฐของน้ำ และพระวิญญาณ พวกเขาต้องพยากรณ์อีกครั้งว่าวัตถุประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าของเราสำหรับโลกนี้ใน ช่วงเวลาสุดท้ายก็การที่ทุกคนได้มาสู่พระพรของพระเจ้าโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระ วิญญาณ สิ่งที่พระเจ้าทรงสั่งให้ยอห์นพยากรณ์ก็คือการประกาศพระวจนะของความจริงที่โลกใหม่ที่ พระเจ้าทรงนำมากำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ และใครก็ตามที่ต้องการที่จะเข้าไปจะต้องยืนยันโดยการ เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ด้วยการทำงานนี้วิสุทธิชนเละคนรับใช้ของพระเจ้าจะ ต้องประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าจากจุดเริ่มต้นไปทั้งหมด เพื่อให้ทุกคนในโลกนี้ได้มีความเชื่อ ที่จะอนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าของเรา.