Search

דרשות

เรื่องที่ 10: วิวรณ์ (ข้อคิดเกี่ยวกับวิวรณ์)

[บทที่ 14-1] การสรรเสริญของการฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติของผู้ที่ยอมทนทุกข์ยาก (วิวรณ์ 14:1-20)

การสรรเสริญของการฟื้นขึ้นมาจากความตาย และการปลื้มปีติของผู้ที่ยอมทนทุกข์ยาก
(วิวรณ์ 14:1-20)
“ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด พระเมษโปดกทรงยืนอยู่ที่ภูเขาศิโยน และผู้ที่อยู่กับพระองค์มีจำนวนแสนสี่หมื่นสี่พันคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระนามของพระบิดาของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผากของเขา และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์ดุจเสียงน้ำมากหลาย และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่น และข้าพ เจ้าได้ยินเสียงพวกดีดพิณเขาคู่กำลังบรรเลงอยู่ คนเหล่านั้นร้องเพลงราวกับว่า เป็นเพลงบทใหม่ต่อหน้าพระที่นั่ง หน้าสิ่งที่มีชีวิตอยู่ทั้งสี่นั้น และหน้าพวกผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถเรียนรู้เพลงบทนั้นได้ นอกจากคนแสนสี่หมื่นสี่พันคนนั้น ที่ได้ทรงไถ่ไว้แล้วจากแผ่นดินโลก คนเหล่านี้เป็นคนที่มิได้มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าเขาเป็นพวกพรหมจารี พระเมษโปดกเสด็จไปที่ใด คนเหล่านี้ก็ตามเสด็จไปด้วย พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่จากมวลมนุษย์ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก ปากเขาไม่กล่าวคำอุบายเลย เพราะเขาไม่มีความผิดต่อหน้าพระที่นั่งของพระเจ้า แล้วข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งที่บินอยู่ในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐอันเป็นอมตะแก่คนทั้ง หลายที่อยู่ในโลก แก่ทุกชาติ ทุกตระกูล ทุกภาษาและประชากร ท่านประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “จงยำเกรงพระเจ้า และถวายสง่าราศีแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว และจงนมัสการพระองค์ ‘ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล’ และบ่อน้ำพุทั้งหลาย” ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งตามไปประกาศว่า “บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้วล่มจมแล้ว เพราะว่านครนั้นทำให้ประ ชาชาติทั้งปวงดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลของเธอในการล่วงประเวณี” และทูตสวรรค์ซึ่งเป็นองค์ที่สามตามไปประกาศด้วยเสียงอันดังว่า“ถ้าผู้ใดบูชาสัตว์ร้ายและรูปของมันและรับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของตน ผู้นั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้ระคนกับสิ่งใด ที่ได้เทลงในถ้วยพระพิโรธของพระองค์ และเขาจะต้องถูกทรมานด้วยไฟและกำมะ ถันต่อหน้าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก และควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ และผู้ที่บูชาสัตว์ร้าย และรูปของมัน และผู้ใดก็ตามที่รับเครื่อง หมายชื่อของมันจะไม่มีการพักผ่อนเลยทั้งกลางวันและกลางคืน” นี่แหละคือความอดทนของพวกวิสุทธิชน คือผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และดำเนินตามความเชื่อของพระเยซู และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้หยุดพักจากความเหนื่อยยากของเขาและการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป” ข้าพเจ้าได้แลเห็นและ ดูเถิด มีเมฆขาว และมีผู้หนึ่งประทับบนเมฆนั้นเหมือนกับบุตรมนุษย์ สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียร และพระหัตถ์ถือเคียวอันคม และมีทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารร้องทูลพระ องค์ ผู้ประทับบนเมฆนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “จงใช้เคียวของพระองค์เกี่ยวไปเถิด เพราะว่าถึงเวลาที่พระองค์จะเกี่ยวแล้ว เพราะว่าผลที่จะต้องเก็บเกี่ยวในแผ่นดินโลกนั้นสุกแล้ว” และพระองค์ผู้ประ ทับบนเมฆนั้น ได้ทรงตวัดเคียวนั้นบนแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็ได้ถูกเกี่ยวแล้ว และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งก็ออกมาจากพระวิหารบนสวรรค์ ถือเคียวอันคมเช่นเดียวกัน และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งผู้มีฤทธิ์เหนือไฟ ได้ออกมาจากแท่นบูชา และร้องบอกทูตองค์นั้นที่ถือเคียวคมนั้นด้วยเสียงอันดังว่า ‘ท่านจงใช้เคียวคมของท่านเกี่ยวเก็บพวงองุ่นแห่งแผ่นดินโลกเพราะลูกองุ่นนั้นสุกดีแล้ว’ ทูต สวรรค์นั้นก็ตวัดเคียวบนแผ่นดินโลก และเก็บเกี่ยวผลองุ่นแห่งแผ่นดินโลก และขว้างลงไปในบ่อย่ำองุ่นอันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า บ่อย่ำองุ่นถูกย่ำภายนอกเมือง และโลหิตไหลออกจากบ่อย่ำองุ่นนั้นสูงถึงบังเหียนม้า ไหลนองไปประมาณสามร้อยกิโลเมตร.” 
 
 

คำอธิบาย 

 
วรรคที่ 1: ข้าพเจ้าได้แลเห็น และดูเถิด พระเมษโปดกทรงยืนอยู่ที่ภูเขาศิโยน และผู้ที่อยู่กับพระองค์มีจำนวนแสนสี่หมื่นสี่พันคน ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระนามของพระบิดาของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผากของเขา.
นี่เกี่ยวกับวิสุทธิชนผู้เกิดใหม่ ผู้ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายหลังจากการทนทุกข์ยากของตนโดยพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ได้สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ เหล่าวิสุทธิชนผู้ที่ทนทุกข์ยากโดยพวกปฏิปักษ์ต่อเพระคริสต์และเหล่าวิสุทธิชนผู้ที่นอนหลับจะอยู่บนสวรรค์ตอนนี้ กำลังสรร เสริญพระผู้เป็นเจ้าด้วยเพลงใหม่ ในวรรคที่ 4 เราเห็นว่า 144,000 คนได้ร้องเพลงใหม่นี้ แล้วท่านอาจจะสงสัยว่า ผู้คน 144,000 เท่านั้นหรือที่ปลื้มปีติ แต่หมายเลข 14 ที่นี่หมายความว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงแล้ว. (มัทธิว 1:17) 
เราจะต้องตระหนักว่าหลังจากการทนทุกข์ยากและปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปลี่ยนแปลงโลกปัจจุบันนี้ไปสู่โลกใหม่ พระผู้เป็นเจ้าของเราจะทรงสร้างโลกที่พระ องค์จะทรงมีชีวิตอยู่กับคนของพระองค์แทน นี่คือพระประสงค์ของผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง. 
คนทั้งหลายที่สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์คือผู้ที่ได้เป็นวิสุทธิชนโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่ประทานโดยพระคริสต์ในขณะที่ทรงอยู่บนโลกนี้ ดังนั้น บนหน้าผากของพวกเขาจึงเขียนพระนามของพระเมษโปดกและของพระบิดาเพราะพวกเขาเป็นของพระคริสต์แล้วตอนนี้.
 
วรรคที่ 2: และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์ดุจเสียงน้ำมากหลาย และดุจเสียงฟ้าร้องสนั่น และข้าพ เจ้าได้ยินเสียงพวกดีดพิณเขาคู่กำลังบรรเลงอยู่. 
วิสุทธิชนในสวรรค์เป็นผู้ที่ทนทุกข์ยากเพื่อปกป้องความรอดของตนที่ประทานโดยพระผู้เป็นเจ้าและปกป้องความเชื่อของตนในความจริงที่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา และเป็นผู้ที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตายหลังจากนั้น เพราะร่างกายของพวกเขาฟื้นขึ้นมาจากความตายและทนทุกข์ยากโดยพลังของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจึงสรรเสริญพระองค์ในสวรรค์เพื่อความรอดของพระองค์และพระพรของการประทานอำนาจให้แก่พวกเขา เสียงของการสรรเสริญของพวกเขานั้นสวยงามเหมือนกับเสียงของกระแสน้ำ และน่าเกรงขามดุจเสียงฟ้าร้อง พวกเขาทั้งหมดรอดอย่างเป็นนิรันดร์จากความผิดบาปของพวกเขาผ่านความรอดของความผิดบาปของพวกเขาโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ในขณะที่อยู่บนโลกนี้. 
 
วรรคที่ 3: คนเหล่านั้นร้องเพลงราวกับว่า เป็นเพลงบทใหม่ต่อหน้าพระที่นั่ง หน้าสิ่งที่มีชีวิตอยู่ทั้งสี่นั้น และหน้าพวกผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถเรียนรู้เพลงบทนั้นได้ นอกจากคนแสนสี่หมื่นสี่พันคนนั้น ที่ได้ทรงไถ่ไว้แล้วจากแผ่นดินโลก. 
คน 144,000 คนหมายถึงเหล่าวิสุทธิชนที่ปลื้มปีติ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หมายเลข 14 หมาย ถึงการเปลี่ยนใหม่ คนทั้งหลายที่สามารถสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าด้วยบทเพลงใหม่ในสวรรค์นั้นเป็นผู้ที่ถูกเปลี่ยนแปลงในขณะที่อยู่บนโลกโดยได้รับการยกความผิดบาปและการเกิดใหม่โดยความ เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ นี่คือเหตุผลที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าคน 144,000 นั้น. 
นอกจากพวกเขาแล้วไม่มีใครอื่นที่สามารถสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าได้เพื่อพระพรของความรอดของพระองค์ผ่านข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าของเราทรงได้รับการสรรเสริญจากคนทั้งหลายที่ทำบาปที่ได้รับการยกความผิดบาปโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณและผู้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ดุจเป็นของประทานของพวกเขา. 
 
วรรคที่ 4: คนเหล่านี้เป็นคนที่มิได้มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าเขาเป็นพวกพรหมจารี พระเมษโปดกเสด็จไปที่ใด คนเหล่านี้ก็ตามเสด็จไปด้วย พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่จากมวลมนุษย์ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก. 
เหล่าวิสุทธิชนผู้ที่เป็นผู้หนึ่งที่มิได้มีมลทินในความเชื่อของตนพร้อมกับพลังทางโลกหรือศาสนาใดๆ มีหลายคนในโลกนี้ที่เปลี่ยนแปลงความเชื่อของตนได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับผู้ที่ได้เป็นเหล่าวิสุทธิชนโดยความเชื่อในบัพติศมาของพระผู้เป็นเจ้าและพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน และด้วยการได้รับการยกความผิดบาปของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขาจึงไม่เคยเปลี่ยน แปลงสำหรับสิ่งใดๆในโลกนี้. 
วิสุทธิชนผู้ที่ขึ้นไปสวรรค์และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รักษาข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้และปกป้องความเชื่อของตน ดังนั้นผู้ที่สามารถสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในอาณาจักรสวรรค์ได้คือคนทั้งหลายที่ปลื้มปีติโดยพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความเชื่อของพวกเขาในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ.
ตอนกลางของวรรคที่ 4 ได้เขียนไว้ว่า “พระเมษโปดกเสด็จไปที่ใด คนเหล่านี้ก็ตามเสด็จไปด้วย” ท่านจะต้องตระหนักว่าคนทั้งหลายที่ได้ชำระความผิดบาปทั้งหมดของตนเพียงครั้งเดียวผ่านความเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณของพวกเขาจะต้องติดตามพระผู้เป็นเจ้าไปทุกที่ที่พระองค์ทรงนำพวกเขาไปหลังจากที่ได้เกิดใหม่แล้ว ในหัวใจของพวกเขาก็ได้พบกับความตั้งใจในการติดตามพระผู้เป็นเจ้าไปด้วยความปีติยินดีไม่ว่าที่ใดก็ตามที่ทรงนำพวกเขาไป เนื่องจากพวกเขาได้รับการยกความผิดบาป ในช่วงเวลาสุดท้าย พวกเขาได้ทนทุกข์ยากจากพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ด้วยความเชื่อ และเป็นขึ้นมาจากความตายและปลื้มปีติจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจึงสรร เสริญพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์. 
ได้เขียนเช่นกันว่า “พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่จากมวลมนุษย์ เป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก.” ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้รอดจากความผิดบาปของตนโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ นี่คือเหตุผลที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสในเยเรมีย์ 3:14 ว่า “เราจะรับเจ้าจากเมืองละคน และจากครอบครัวละสองคน และเราจะนำเจ้ามาถึงศิโยน.” คนทั้งหลายที่ได้พบข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณและได้รับการยกความผิดบาปแล้วนั้นคือคนจำนวนน้อยนี้. 
พวกเขาจะเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับผลแรกของการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ผู้ที่ปลื้มปีติจากพลังของพระผู้เป็นเจ้าและผู้ที่สรรเสริญพระคริสต์อย่างเป็นนิรันดร์ จะได้รับตามสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าเพราะพวกเขานั้นเป็นของพระเมษโปดก พวกเขาเป็นผู้ที่ติดตามพระผู้เป็นเจ้าไปทุกที่ที่ทรงนำพวกเขาไปบนโลกนี้ ทั้งหมดนี้เป็นพระสิริและพลังของพระเจ้า. 
 
วรรคที่ 5: “ปากเขาไม่กล่าวคำอุบายเลยเพราะเขาไม่มีความผิดต่อหน้าพระที่นั่งของพระเจ้า.” 
คนทั้งหลายที่ได้เกิดใหม่โดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณสามารถประ กาศข่าวประเสริฐที่แท้จริงนี้ออกไปด้วยปากของพวกเขา ในขณะที่มีหลายๆคนในปัจจุบันนี้ผู้ที่ประ กาศข่าวประเสริฐไปด้วยวิธีของตนเอง มันจึงเป็นความจริงที่พวกเขาจะได้ประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่แท้จริงออกไปด้วย. 
ผู้ที่ประกาศออกไปแต่เพียงพระโลหิตบนไม้กางเขนของพระเยซูนั้นไม่ได้ประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ไป ทำไม? ก็เพราะว่ไม่มีข่าวประ เสริฐอื่นใดนอกจากข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้นที่เป็นข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พวกเขาสามารถประกาศข่าวประเสริฐนี้ออกไปด้วยปากที่ไม่มีคำอุบายของตน เพราะบาปทั้งหมดในหัวใจของคนชอบธรรมทั้งหลายนั้นได้รับการชำระออกไปแล้วโดยพระวจนะของข่าวประเสริฐที่แท้จริงนี้. 
 
วรรคที่ 6–7: แล้วข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งที่บินอยู่ในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐอันเป็นอมตะแก่คนทั้ง หลายที่อยู่ในโลก แก่ทุกชาติ ทุกตระกูล ทุกภาษาและประชา กร ท่านประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “จงยำเกรงพระเจ้า และถวายสง่าราศีแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว และจงนมัสการพระองค์ ‘ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย.” 
วิสุทธิชนที่เกิดใหม่จะต้องประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณออกไปบนโลกนี้ต่อไป ดังนั้นภารกิจของการประกาศข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ จะต้องยังมีอยู่ในโลกนี้จนกระทั่งถึงวันปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชน.
มีเพียงผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณจะทนทุกข์ยากโดยปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์เพื่อปกป้องความเชื่อของตน และพวกเขาเท่านั้นจะถูกยกขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์ ทุกคนจะ ต้องยำเกรงพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ และได้รับการยกความผิดบาปของพวกเขาและพระวิญญาณดุจเป็นของประทานของพวกเขา หากคริสเตียนในปัจจุบันนี้ไม่สามารถเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณโดยที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ในความขอบคุณ ความเชื่อในพระเยซูของพวกเขาก็จะไร้ประโยชน์. 
ผู้สร้างจักรวาลทั้งหมดและทุกสิ่งในโลกนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระเยซู คริสต์ ดังนั้นมนุษยชาติจะต้องตระหนักว่าพระเยซู คริสต์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขาผู้ทรงสร้างพวกเขาและประทานความรอดให้พวกเขาพร้อมกับการยกความผิดบาปของตน และจึงนมัสการพระองค์ตาม นั้น เพราะทุกอย่างนั้นถูกสร้างและสมบูรณ์ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ ผู้คนทุกคนสามารถได้รับการยกความผิดบาปทั้งหมดของพวกเขาและได้รับพระพรของการได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ดุจของประทานของพวกเขาโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณในหัวใจของพวกเขา. 
โลกนี้จะต้องเตรียมตัวที่จะได้รับการพิพากษาที่พระเยซู คริสต์จะทรงทำให้ผู้ที่ต่อต้านพระเจ้ายอมจำนน แน่นอนว่าเราจะต้องเตรียมความเชื่อของเราที่จะปลื้มปีติจากพระผู้เป็นเจ้าในไม่ช้านี้ เพราะวันแห่งการพิพากษาของพระเจ้าใกล้เราเข้ามาแล้ว หนทางในการเตรียมตัวสำหรับการปลื้ม ปีติคือการเชื่อในพระวจนะของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ ทำไม? ก็เพราะว่ามีเพียงผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้นที่สามารถได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้และเมื่อวันสุดท้ายมาถึง พวกเขาจะได้สวมสง่าราศีในการถูกยกขึ้นไปบนฟ้าอากาศจากพระผู้เป็นเจ้าในการปลื้มปีติของพวกเขา. 
ดังนั้นผู้มีบาปทั้งหมดจะต้องเชื่อในพระเยซู คริสต์ว่าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างและผู้ช่วยให้รอด และนมัสการพระองค์ตามนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาจะต้องยอมรับข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณเข้าสู่หัวใจของพวกเขา และจึงได้รับพระคุณของการยกความผิดบาปของพระองค์และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นของประทาน ผู้ที่นมัสการพระเจ้าได้รับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้เข้าสู่หัวใจของพวกเขาและไม่ปฏิเสธมัน เพราะนี่คือวิธีที่พวกเขาสามารถนมัสการพระเจ้าได้. 
 
วรรคที่ 8: ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งตามไปประกาศว่า “บาบิโลนมหานครนั้นล่มจมแล้วล่มจมแล้ว เพราะว่านครนั้นทำให้ประ ชาชาติทั้งปวงดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลของเธอในการล่วงประเวณี.” 
โลกนี้จะหายไปจากการพิพากษาอันน่ากลัวของพระเยซู คริสต์ เนื่องจากศาสนาที่เกิดขึ้นมาจากสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการสอนที่ผิดก็จะถูกทำลายจากพระเจ้า ศาสนาตามทางโลกนี้ได้ทำให้ผู้ คนติดตามโลกมากกว่าพระเจ้า และให้พวกเขาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับพระเจ้า โลกนี้จึงถูกทำ ลาย เพราะผู้คนได้ละทิ้งพระเจ้าและเกิดกิเลสหลังจากศาสนาตามโลกนั้น.
ตามที่พวกเขาได้ติดตามศาสนาทางโลกหมายความว่าพวกเขาได้ติดตามพระเจ้าจอมปลอม และปีศาจร้าย ดังนั้นพระเจ้าก็ทรงทำลายโลกนี้ด้วยความเดือดดาลของพระองค์ ทุกสิ่งในโลกนี้และศาสนาจอมปลอมทั้งหมดจะนำเอาพระเจ้าเสด็จลงมาและควรจะดื่มเหล้าองุ่นแห่งความเดือดดาลของพระเจ้า ดังนั้นคนทั้งหลายที่ต่อต้านพระเจ้า เช่นเดียวกับปีศาจที่เหมือนกับพยาธิที่เกาะอยู่กับศาสนาตามทางโลก จะตกลงมาโดยภัยพิบัติของพระเจ้าและถูกโยนลงไปยังนรกอย่างเป็นนิรันดร์.
 
วรรคที่ 9–10: และทูตสวรรค์ซึ่งเป็นองค์ที่สามตามไปประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าผู้ใดบูชาสัตว์ร้ายและรูปของมันและรับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของตน ผู้นั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้ระคนกับสิ่งใด ที่ได้เทลงในถ้วยพระพิโรธของพระองค์ และเขาจะต้องถูกทรมานด้วยไฟและกำมะ ถันต่อหน้าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก.” 
พระเจ้าทรงเตือนทุกคนที่นี่ โดยกล่าวว่าหากใครก็ตามที่บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน หรือได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของตน เขาหรือเธอก็จะได้รับการลงโทษของนรก ซาตานจะข่มขู่มนุษยชาติทั้งหมดให้บูชารูปเคารพที่สร้างหลังจากรูปของปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ แต่คนทั้งหลายที่เกิดใหม่จะต่อสู้กับปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และจะทนุทกข์ยากเพื่อปกป้องความเชื่อของตน เหล่าวิสุทธิชนที่เกิดใหม่จะต้องปกป้องความเชื่อของตนเพื่อต่อสู้กับปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และการทนทุกข์ยาก. 
หากใครก็ตามที่กำลังยอมแพ้ต่อปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ยอมก้มหัวให้กับรูปของเขาและได้รับเครื่องหมายของชื่อหรือหมายเลขของเขา เขาหรือเธอก็จะได้รับพระพิโรธของพระเจ้าที่จะขว้างเขาหรือเธอทิ้งลงไปสู่บึงไฟและกำมะถันอย่างเป็นนิรันดร์ เมื่อเวลาของความทุกข์ยากมาถึง เหล่าวิสุทธิชนจะต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า ปกป้องความเชื่อของพวกเขาในพระผู้เป็นเจ้า และให้ความหวังของพวกเขาในอาณาจักรสวรรค์ และพวกเขาจะต้องต่อสู้กับปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และปกป้องความเชื่อของตนโดยการเชื่อในพระเยซู คริสต์ และร่วมกับความทนทุกข์ยาก การฟื้นขึ้นมาจากความตายและ การปลื้มปีติของพวกเขา และก็จะได้รับพระพรอันเป็นนิรันดร์ของการได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากับพระองค์. 
 
วรรคที่ 11: และควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ และผู้ที่บูชาสัตว์ร้าย และรูปของมัน และผู้ใดก็ตามที่รับเครื่อง หมายชื่อของมันจะไม่มีการพักผ่อนเลยทั้งกลางวันและกลางคืน. 
คนทั้งหลายที่บูชาซาตานจะได้รับภัยพิบัติของพระองค์และได้รับการทรมานของนรกอันเป็นนิรันดร์ ผู้ใดก็ตามที่ยอมแพ้ต่อปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ในช่วงเวลาสุดท้ายและบูชารูปของเขาดุจเป็นพระเจ้าจะถูกทรมานในบึงไฟและกำมะถันที่ได้รับจากพระพิโรธของพระเจ้า เราจะต้องเชื่อว่าทุกคนผู้ติดตามสัตว์ร้ายและรูปของเขา และใครก็ตามที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้าย จะไม่มีวันและคืนเหลืออยู่. 
 
วรรคที่ 12: นี่แหละคือความอดทนของพวกวิสุทธิชนคือผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และดำเนินตามความเชื่อของพระเยซู. 
ตามที่เหล่าวิสุทธิชนที่เชื่อทั้งในความมั่งคั่ง ในสง่าราศี และพระพรที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเขา พวกเขาก็จะต้องพยายามผ่านความอดทน พวกเขาจะต้องอดทนผ่านช่วงเวลาของความทุกข์ยากด้วยเช่นกัน คำสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำไว้แก่เหล่าวิสุทธิชนในช่วงเวลาสุดท้ายก็คือพระองค์จะทรงประทานพระพรของการมีชีวิตพร้อมกับพระองค์หลังจากการทนทุกข์ ยากของพวกเขา ร่วมกันกับการฟื้นขึ้นมาจากความตายโดยพลังของพระผู้เป็นเจ้าตามที่พวกเขาได้ถูกยกขึ้นสวรรค์.
ดังนั้นเหล่าวิสุทธิชนจึงต้องอดทนเพราะพวกเขาเชื่อในพระพรที่จะยอมให้พวกเขาได้เข้าไปสู่งานเลี้ยงแต่งงานของพระเมษโปดกพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้า ครอบครองร่วมกับพระองค์เป็นพันปีและมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์ในอาณาจักรสวรรค์ เมื่อช่วงเวลาสุดท้ายมาถึง เหล่าวิสุทธิชนจึงต้อง ทนทุกข์ยากเพื่อปกป้องความเชื่อของพวกเขาพวกเขาต้องอดทนผ่านความทุกข์ยากทั้งหมดของ เวลาในการอดทน. 
วิสุทธิชนผู้ที่ตอนนี้มีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องยอมรับการทนทุกข์ยากของตนและเชื่อในคำสัญญาของพระเยซู เมื่อปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ต้องการให้พวกเขาทรยศความเชื่อของตนด้วยการข่มขู่ กดดันและการล่อใจพวกเขา ทำไม? ก็เพราะหลังจากนั้นไม่นาน พระพรของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดจะสมบูรณ์ตามคำสัญญาของพระองค์ เหล่าวิสุทธิชนทั้งหมดสามารถได้รับรางวัลเพียงการรักษาความเชื่อของพวกเขาในพระวจนะของพระเจ้าและในพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นให้รักษาความเชื่อของท่านในพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจะทรงต้องรับเหล่าวิสุทธิชนผู้ที่ได้ปกป้องความเชื่อของตนในพระวจนะของพระองค์และในพระเยซู คริสต์เพื่อไปสู่โลกใหม่ของพระองค์ทั้งหมด. 
มีเหตุผลมากมายที่ว่าทำไมเหล่าวิสุทธิชนผู้ที่รับใช้ข่าวประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้าจะต้องอดทนผ่านความยากลำบากของช่วงเวลาของความทุกข์ยากทั้งหมดด้วยความอดทน ที่ดีกว่าสำหรับอนาคตก็คือไม่จำเป็นต้องทนพร้อมกับความทุกข์ทรมานในปัจจุบันด้วยความอดทน. 
โรม 5:3–4 บอกว่า “ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากด้วยเพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความอดทนและความอดทนทำให้เกิดมีประสบการณ์ และประสบการณ์ทำให้เกิดมีความหวังใจ.” เหล่าวิสุทธิชนผู้ที่สามารถอดทนผ่านความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งโดยการเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าจะมีชีวิตของพระพร ได้รับการเป็นขึ้นมาจากการตายและการปลื้มปีติจากพระองค์ และจะครอบครองอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ ดังนั้นเราจะต้องอดทนผ่านความทุกข์ลำบากให้ได้ทั้งหมดด้วยความเชื่อของเรา เหล่าวิสุทธิชนสามารถอดทนได้อย่างแท้จริงผ่านความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งของช่วงเวลาสุดท้ายโดยการรักษาความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าของตน เหล่าวิสุทธิชนเชื่อในทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้สมบูรณ์เพื่อพวกเขาทั้งในสวรรค์และบนโลกนี้. 
 
วรรคที่13: และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์สั่งข้าพเจ้าว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข.” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้หยุดพักจากความเหนื่อยยากของเขาและการงานที่เขาได้กระทำนั้นจะติดตามเขาไป.”
วรรคที่ว่า “ตั้งแต่นี้สืบไปคนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นสุข.” ทำไม? เพราะ ว่าเมื่อเวลาของความทุกข์ยากมาถึง นั่นก็คือเมื่อปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ครอบครองโลก แล้วผู้มีบาปทุกคนจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้จะถูกทำลายทั้งหมด ดังนั้นเหล่าวิสุทธิชนจะต้องมองดูการมาของอาณา จักรของพระคริสต์ ปกป้องความเชื่อของพวกเขาและยอมรับความทุกข์ลำบากของความเชื่อ คนทั้ง หลายที่ทนทุกข์ยากเพื่อถวายสง่าราศีให้กับพระผู้เป็นเจ้าได้รับพระพร และดังนั้น พวกเขาจะต้องยอมรับการทนทุกข์ยากเพื่อปกป้องความเชื่อของเขา. 
พระผู้เป็นเจ้าจะทรงดูแลเหล่าวิสุทธิชนนั้น ยอมให้พวกเขาได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายและปลื้มปีติเพื่อยกพวกเขาขึ้นไปสู่อาณาจักของพระองค์ ความเหนื่อยยากทั้งหมดของเหล่าวิสุทธิชนบนโลกนี้จะสิ้นสุด และพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยความปิติยินดีพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าและของชีวิตนิรันดร์ และความมั่งคั่งและพระสิริของอาณาจักรของพระองค์จะเป็นของพวกเขานิรันดร์. 
นี่คือเหตุผลที่คนทั้งหลายผู้ทนทุกข์ยากในช่วงเวลาสุดท้ายได้ปกป้องความเชื่อของตนได้ รับพระพร เพราะพวกเขาจะมีชีวิตอยู่พร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าในความมั่งคั่งและพระสิริของอาณา จักรพันปีของพระองค์และอาณาจักสวรรค์อย่างเป็นนิรันดร์ของพระองค์ พระเจ้าจะทรงประทานพระพรของการครอบครองร่วมกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นนิรันดร์ให้แก่ผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อสัตว์ร้ายและปกป้องความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าของตน. 
 
วรรคที่ 14: ข้าพเจ้าได้แลเห็นและ ดูเถิด มีเมฆขาว และมีผู้หนึ่งประทับบนเมฆนั้นเหมือน กับบุตรมนุษย์ สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียร และพระหัตถ์ถือเคียวอันคม. 
วรรคนี้บอกเราว่าพระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาเพื่อปลื้มปีติให้เหล่าวิสุทธิชน เนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองเหล่าวิสุทธิชนพระองค์จะทรงให้วิสุทธิชนเป็นขึ้นมาจากความตายผู้ที่ได้ทนทุกข์ยากเพื่อปกป้องความเชื่อของตนและยกพวกเขาขึ้นสู่อาณาจักรของพระเจ้าในการปลื้มปีติ การปลื้มปีติก็จะมาถึงเหล่าวิสุทธิชนอย่างแน่นอน ในช่วงเวลาของความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง. 
 
วรรคที่ 15: และมีทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารร้องทูลพระองค์ ผู้ประทับบนเมฆนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “จงใช้เคียวของพระองค์เกี่ยวไปเถิด เพราะว่าถึงเวลาที่พระองค์จะเกี่ยวแล้ว เพราะว่าผลที่จะต้องเก็บเกี่ยวในแผ่นดินโลกนั้นสุกแล้ว.” 
พระวจนะนี้หมายถึงความสำเร็จของการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนโดยพระผู้เป็นเจ้า การปลื้มปีติจะเกิดขึ้นหลังจากการทนทุกข์ยากของวิสุทธิชน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงยอมให้วิสุทธิชนผู้ที่นอนหลับปลื้มปีติร่วมกับผู้ที่ทนทุกข์ยาก ความสำเร็จของความเชื่อของเหล่าวิสุทธิชนนั้นพบได้ในความรอด ความทนทุกข์ยาก การฟื้นขึ้นมาจากความตาย การปลื้มปีติ และชีวิตนิรันดร์ของพวกเขาเวลาของการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชนนั้นเกิดขึ้นหลังจากความทนทุกข์ยากของพวกเขาพร้อมกับการข่มเหงของพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ และฟื้นขึ้นมาจากความตายอย่างพร้อมกัน. 
 
วรรคที่ 16: และพระองค์ผู้ประทับบนเมฆนั้นได้ตวัดเคียวนั้นบนแผ่นดินโลกและแผ่นดินดลกก็ได้ถูกเกี่ยวแล้ว. 
วรรคนี้เช่นกัน หมายถึงการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชน การปลื้มปีติหมายถึงการยกเหล่าวิสุทธิชนขึ้นไปบนฟ้าอากาศ แล้วนี้หมายความว่าเหล่าวิสุทธิชนจะถูกยกขึ้นไปบนฟ้าอากาศ และลงมาสู่โลกพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าไหม? แน่นอน! หลังจากที่เหล่าวิสุทธิชนทนทุกข์ยาก พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายโลก ทะเล และทั้งหมดที่อยู่ในนั้นโดยการเทภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดลงมา และหลัง จากการทำลายโลกนี้ พระองค์จะทรงเสด็จลงมายังโลกนี้แล้วทนทุกข์ยากร่วมกับเหล่าวิสุทธิชน. 
จากนั้นพระผู้เป็นเจ้าและเหล่าวิสุทธิชนของพระองค์จะปกครองโลกนี้เป็นเวลาพันปี และเมื่องานเลี้ยงแต่งงานของพระเมษโปดกสิ้นสุดลง พวกเขาจะขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์อย่างเป็นนิรันดร์ เมื่อเหล่าวิสุทธิชนร่วมงานเลี้ยงแต่งงานของพระผู้เมฆโปดก พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสร้างโลกทั้งโลกใหม่รวมทั้งทุกสิ่งด้วย. 
หลังจากการปลื้มปีติของพวกเขา เหล่าวิสุทธิชนจะอยู่บนฟ้าอากาศพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และเมื่อภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดสิ้นสุดลง พวกเขาจะลงมายังโลกใหม่เพื่อครอบครองพร้อมกับพระองค์เป็นเวลาพันปี จากนั้นพวกเขาจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิตร่วมกับพระองค์อย่างเป็นนิรันดร์. 
 
วรรคที่ 17: และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งก็ออกมาจากวิหารบนสวรรค์ ถือเคียวอันคมเช่น เดียวกัน. 
ทูตสวรรค์ที่ปรากฎที่นี่คือทูตสวรรค์ของการพิพากษา ทูตสวรรค์นี้จะนำภัยพิบัติใหญ่ยิ่งมาสู่ผู้คนของโลกนี้ผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า และขว้างพวกเขาลงไปสู่ไฟอย่างเป็นนิรันดร์ หน้าที่ของเขานั้นคือการขว้างและมัดพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และคนรับใช้ของพวกเขาเข้าด้วยกัน ผู้มีบาปทั้งหมดของโลกนี้ผู้ที่ไม่ได้เกิดใหม่จะเข้าไปสู่เหวที่ไม่มีก้นเหว. 
 
วรรคที่ 18: และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งผู้มีฤทธิ์เหนือไฟ ได้ออกมาจากแท่นบูชา และร้องบอกทูตองค์นั้นที่ถือเคียวคมนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านจงใช้เคียวคมของท่านเกี่ยวเก็บพวงองุ่นแห่งแผ่นดินโลกเพราะลูกองุ่นนั้นสุกดีแล้ว.” 
พระวจนะนี้บอกเราว่าเวลาของผู้มีบาปที่จะได้รับการพิพากษาจากพระเจ้าเพื่อความผิดบาปของการต่อสู้กับพระเจ้าได้มาถึงแล้ว ในช่วงเวลาของพระเจ้าเป็นชั่วโมงของความสำเร็จของแผน การของพระองค์ พระเจ้าจะทรงรวมผู้มีบาปและคนทั้งหลายที่ต่อต้านพระองค์เข้าด้วยกัน เพื่อประ ทานการพิพากษาของไฟของพระองค์ให้กับพวกเขา และลงโทษพวกเขาตามนั้น. 
 
วรรคที่ 19: ทูต สวรรค์นั้นก็ตวัดเคียวบนแผ่นดินโลก และเก็บเกี่ยวผลองุ่นแห่งแผ่นดินโลก และขว้างลงไปในบ่อย่ำองุ่นอันใหญ่แห่งพระพิโรธของพระเจ้า. 
พระวจนะนี้แสดงให้เราได้เห็นว่าหลังจากการปลื้มปีติของเหล่าวิสุทธิชน ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และผู้มีบาปจะทนทุกข์ทรมานอย่างมากภายใต้ภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ด พระเจ้าจะทรงนำพระพิโรธของพระองค์มาสู้ผู้มีบาปบนโลกนี้เช่นกันโดยการปล่อยภัยพิบัติอันน่ากลัวของพระองค์มาสู่พวกเขา และจากนั้นก็ติดตามมาพร้อมกับการลงโทษของนรก ภัยพิบัติที่พระเจ้าทรงเทมาสู่ผู้มีบาปเหล่านี้คือพระพิโรธอันชอบธรรมของพระองค์ที่นำมาสู่ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์และผู้ติดตามเขา นี่คือการปกครองของพระเจ้าเพื่อผู้มีบาปผู้ต่อต้านพระองค์. 
 
วรรคที่ 20: บ่อย่ำองุ่นถูกย่ำภายนอกเมือง และโลหิตไหลออกจากบ่อย่ำองุ่นนั้นสูงถึงบังเหียนม้า ไหลนองไปประมาณสามร้อยกิโลเมตร. 
วรรคนี้บอกเราถึงวิธีลงโทษของพระพิโรธของพระเจ้าและความทุกข์ทรมานจะมาสู่ผู้ที่ยัง คงอยู่บนโลกนี้ ทรงนำภัยพิบัติของขันทั้งเจ็ดแทลงมาสู่ ทั้งมนุษย์และสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง มันบอกเราเช่นกันว่าภัยพิบัตินี้จะเกิดทั่วโลกเมื่อเหล่าวิสุทธิชนทนทุกข์ยากฟื้นขึ้นมาจากความตายและปลื้ม ปีติ ตั้งแต่ตอนนี้ไป พระพิโรธของขันทั้งเจ็ดจะถูกนำลงมาพร้อมกัน และจะสิ้นสุดทุกสิ้งทุกอย่าง. 
ไม่มีผู้ใดนอกจากเหล่าวิสุทธิชนบนสวรรค์และทูตสวรรค์ผู้ที่ยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้าจะหลบหนีจากภัยพิบัติอันน่ากลัวนี้ได้ อีกนัยหนึ่ง มีเพียงการลงโทษของนรกเท่านั้นที่จะรอคอยผู้ที่ต่อต้านพระเจ้า อีกอย่าง วิสุทธิชนผู้ที่เกิดใหม่จนพบตัวเองในงานเลี้ยงแต่งงานพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าบนฟ้าอากาศ ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์เพื่อความรอดของพระองค์ จากนี้ไป เหล่าวิสุทธิชนจะมีชีวิตร่วมกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นนิรันดร์ในพระพรอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์.