(ฮีบรู 7:1-28)
“เพราะเมลคีเซเดคผู้นี้คือกษัตริย์เมืองซาเลม เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ได้พบอับราฮัมขณะที่กำลังกลับมาจากการฆ่าฟันกษัตริย์ทั้งหลาย และได้อวยพรแก่อับราฮัม อับราฮัมก็ได้ถวายของหนึ่งในสิบจากของทั้งปวงแก่ท่านผู้นี้ ตอนแรกท่านผู้นี้แปลว่ากษัตริย์แห่งความชอบธรรม แล้วหลังจากนั้นก็แปลว่ากษัตริย์เมืองซาเลมด้วย ซึ่งหมายถึงกษัตริย์แห่งสันติสุข บิดามารดาและตระกูลของท่านก็ไม่มี วันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของชีวิตก็ไม่มีเช่นกัน แต่เป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งดำรงตำแหน่งปุโรหิตอยู่ตลอดเวลา แล้วจงคิดดูเถิดว่า ท่านผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงไร ซึ่งแม้แต่อับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลของเรานั้นยังได้ชักหนึ่งในสิบจากของริบนั้นมาถวายแก่ท่าน และแท้จริงบรรดาบุตรของเลวี ซึ่งได้รับตำแหน่งปุโรหิตนั้น ถึงแม้ว่าท่านเหล่านั้นได้บังเกิดจากเอวของอับราฮัม ก็ยังมีพระบัญชาสั่งให้รับสิบชักหนึ่งจากประชาชนตามพระราช บัญญัติ คือจากพวกพี่น้องของตน แต่ท่านผู้นี้ไม่ใช่เชื้อสายพวกเขา แต่ก็ยังได้รับสิบชักหนึ่งจากอับราฮัม และได้อวยพรให้อับราฮัมผู้ที่ได้รับพระสัญญาทั้งหลาย สิ่งที่ค้านไม่ได้ คือผู้น้อยต้องรับพรจากผู้ใหญ่ ฝ่ายข้างนี้มนุษย์ที่ต้องตายยังได้รับสิบชักหนึ่ง แต่ฝ่ายข้างโน้นท่านผู้เดียวได้รับ และมีพยานกล่าวถึงท่านว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ถ้าจะพูดไปอีกอย่างหนึ่งก็ว่า เลวีนั้นที่รับสิบชักหนึ่งก็ยังได้ถวายสิบชักหนึ่งทางอับราฮัมเพราะว่าขณะนั้นเขายังอยู่ในเอวของบรรพบุรุษ ขณะที่เมลคีเซเดคได้พบกับอับราฮัม เหตุฉะนั้นถ้าเมื่อจะถึงความสำเร็จได้ในทางตำแหน่งปุโรหิตที่สืบมาจากตระกูลเลวี (ด้วยว่าประชาชนได้รับพระราชบัญญัติโดยทางตำแหน่งนี้) ที่ไหนจะต้องการให้มีปุโรหิตอีกตามอย่างเมลคีเซเดคเล่า ซึ่งมิได้เรียกตามอย่างอาโรน เพราะเมื่อตำแหน่งปุโรหิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พระราชบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะว่าท่านที่เรากล่าวถึงนั้นมาจากตระกูลอื่น ซึ่งเป็นตระกูลที่ยังไม่มีผู้ใดเคยทำหน้าที่ปรนนิบัติที่แท่นบูชาเลย เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นได้ทรงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลยูดาห์ โมเสสไม่ได้ว่าจะมีปุโรหิตมาจากตระกูลนั้นเลย และข้อนี้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นอีก เมื่อปรากฏว่ามีปุโรหิตอีกผู้หนึ่งเกิดขึ้นตามอย่างของเมลคีเซเดค ซึ่งไม่ได้ทรงตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติซึ่งเป็นบทบัญญัติสำหรับเนื้อหนัง แต่ตามฤทธิ์เดชแห่งชีวิตอันไม่รู้สิ้นสุดเลย เพราะมีพยานกล่าวถึงท่านว่า ‘ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค’ ด้วยว่าจริงๆแล้วพระบัญญัติที่มีอยู่เดิมนั้น ก็ได้ยกเลิกไป เพราะขาดฤทธิ์และไร้ประโยชน์เพราะว่าพระราชบัญญัตินั้นไม่ได้ทำอะไรให้ถึงความสำเร็จ แต่ได้นำความหวังอันดีกว่าเข้ามา และโดยความหวังนั้นเราทั้งหลายจึงเข้ามาใกล้พระเจ้า ที่ว่าดีกว่านั้นก็เพราะว่า ปุโรหิตคนนั้นได้ทรงตั้งขึ้นโดยทรงปฏิญาณไว้ (บรรดาปุโรหิตเหล่านั้นไม่มีการกล่าวปฏิญาณเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง แต่ส่วนปุโรหิตนี้มีคำกล่าวปฏิญาณจากพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณแล้ว และจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค’’) พระเยซูก็ได้ทรงเป็นผู้รับประกันแห่งพันธสัญญาอันดีกว่าสักเพียงใด แท้จริงส่วนปุโรหิตเหล่านั้นก็ได้ทรงตั้งขึ้นไว้หลายคน เพราะว่าความตายได้ขัดขวางไม่ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งเรื่อยไป แต่ฝ่ายพระองค์นี้ โดยเหตุที่พระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ตำแหน่งปุโรหิตของพระองค์จึงไม่แปรปรวน ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์เพื่อเสนอความให้คนเหล่านั้น มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง ประทับอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระองค์ไม่ต้องทรงนำเครื่องบูชามาทุกวันๆดังเช่นมหาปุโรหิตอื่นๆ ผู้ซึ่งถวายสำหรับความผิดของตัวเองก่อน แล้วจึงถวายสำหรับความผิดของประชาชน ส่วนพระองค์ได้ทรงถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว คือเมื่อพระองค์ได้ทรงถวายพระองค์เอง ด้วยว่าพระราชบัญญัตินั้นได้แต่งตั้งมนุษย์ที่อ่อนกำลังขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่คำทรงปฏิญาณนั้นซึ่งมาภายหลังพระราช บัญญัติ ได้ทรงแต่งตั้งพระบุตรขึ้น ผู้ถึงความสำเร็จเป็นนิตย์”
พระเยซูทรงทำหน้าที่เป็นปุโรหิตแห่งสวรรค์
ใครอยู่สูงกว่ากัน มหาปุโรหิตเมลคีเซเคดหรือ มหาปุโรหิตทางโลกของสายของอาโรน?
มหาปุโรหิตเมลคีเซเดค
ในพันธสัญญาฉบับเก่านั้นมีมหาปุโรหิตผู้หนึ่งชื่อว่าเมลคีเซเดค ในสมัยของอับราฮัม กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์และกษัตริย์ร่วมพันธมิตรของเขาได้ไปบุกยึดเอาข้าวของสินค้าต่างๆ ของเมืองโสโดมและโกโมราห์ อับราฮัมจึงติดอาวุธให้กับคนรับใช้ที่ได้รับการฝึกมา ผู้ซึ่งเกิดมาในเรือนของเขา และนำพวกเขาไปทำศึกสงครามกับกษัตริย์เคโดราโอเมอร์และพันธมิตรของเขา
ที่นั่นอับราฮัม เอาชนะกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์ กษัตริย์เมืองเอลาม และกษัตริย์ทั้งหลายที่เป็นพันธมิตรกับเขาได้ และได้นำโลท ญาติสนิทของท่านกลับมาได้พร้อมกับข้าวของของเขา หลังจากที่อับราฮัมกลับจากการรบชนะศัตรูของเขา เมลคีเซเดค กษัตริย์เมืองซาเลม และปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุดก็นำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้แล้วอวยพรให้อับราฮัมและอับราฮัมจึงยกหนึ่งในสิบจากข้าวของนั้นให้แก่เขา (ปฐมกาล บทที่ 14)
ในพระคัมภีร์ไบเบิลนั้นได้บรรยายไว้ถึงความยิ่งใหญ่ของมหาปุโรหิตเมลคีเซเดค และมหาปุโรหิตคนอื่นๆในสายของเขาไว้อย่างละเอียด มหาปุโรหิตเมลคีเซเดคเป็น “กษัตริย์ของความสันติสุข”, “กษัตริย์ของความชอบธรรม”, ที่ไม่มีบิดา ไม่มีมารดา ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นของวันและจุดสิ้นสุดของชีวิต แต่ได้เป็นบุตรของพระเจ้า เขายังคงเป็นปุโรหิตไปอย่างต่อเนื่อง
พระคัมภีร์ไบเบิลบอกให้เราพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตตามสายของเมลคีเซเดคโดยการเปรียบเทียบตำแหน่งปุโรหิตของพระเยซูในพันธสัญญาฉบับใหม่ กับมหาปุโรหิตอาโรน ของพันธสัญญาฉบับเก่า
เชื้อสายของเลวีได้เป็นปุโรหิตและได้ชักหนึ่งในสิบจากประชาชนซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมก็ตาม แต่เมื่ออับราฮัมมอบสิบชักหนึ่งให้กับมหาปุโรหิตเมลคีเซเดค แต่เลวีก็ยังอยู่ในสายเลือดของพ่อของเขาอยู่
ปุโรหิตทั้งหลายในพันธสัญญาฉบับเก่านั้นยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูหรือไม่? เรื่องนี้ได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่ามหาปุโรหิตทางโลกหรือไม่? ใครควรได้รับพรจากใคร? ผู้เขียนบทฮีบรูได้กล่าวถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เริ่มต้น “สิ่งที่ค้านไม่ได้คือ ผู้น้อยต้องรับพร จากผู้ใหญ่” อับราฮัมได้รับพรจากมหาปุโรหิตเมลคีเซเดค
แล้วเราต้องใช้ชีวิตในความเชื่อของเราอย่างไร? เราควรจะยึดพระบัญชาของพระเจ้าผ่านระบบการสังเวยบูชาของพลับพลาบริสุทธิ์ของพันธสัญญาฉบับเก่า หรือเราควรจะยึดกับพระเยซู คริสต์ผู้เสด็จมาหาเราดังเช่นมหาปุโรหิตแห่งสรวงสวรรค์ผ่านการเสียสละของพระองค์โดยน้ำและพระวิญญาณ?
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกสิ่งใด เราจะได้รับพรหรือจะถูกตำหนิ เราได้ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าและถวายเครื่องบูชาทุกวัน หรือเราเลือกที่จะเชื่อในการช่วยให้รอดที่พระเยซูประทานมาให้เราโดยการสังเวยพระองค์เองเพียงครั้งเดียวเพื่อทั้งหมดโดยน้ำและพระโลหิต? เราต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากสองสิ่งนี้
ในช่วงเวลาของพันธสัญญาฉบับเก่านั้น ประชาชนชาวอิสราเอลเคารพเชื้อสายของอาโรนและเลวี ในช่วงเวลาของพันธสัญญาฉบับใหม่ ถ้ามีคนถามเราว่าใครยิ่งใหญ่กว่ากันระหว่างพระเยซูหรือปุโรหิตทั้งหลายตามสายของอาโรนแล้ว เราย่อมตอบได้ว่าพระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าโดยไม่ต้องถามต่อ แต่ขณะที่ผู้คนต่างก็รู้ความจริงนี้กันอย่างชัดเจนแล้วมันก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทำตามความเชื่อของเขา
พระคัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบที่ชัดเจนกับคำถามนี้ พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเยซู ผู้ทรงเป็นของชนชาติที่แตกต่างไปที่ไม่มีใครเคยรับใช้ที่แท่นบูชาเลย ได้ทรงรับตำแหน่งปุโรหิตแห่งสวรรค์ “เพราะเมื่อตำแหน่งปุโรหิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว พระราชบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย”
พระเจ้าประทานพระบัญญัติและธรรมบัญญัติทั้ง 613 ประการมาให้แก่ชาวอิสราเอลโดยโมเสส โมเสสบอกกับประชาชนให้ใช้ชีวิตตามธรรมบัญญัติและพระบัญญัติและประชาชนต่างก็เห็นด้วย
เหตุใดพระเจ้าทรงเก็บพันธสัญญาฉบับแรกไว้และทรงกำหนดฉบับที่สองขึ้นมา?
เพราะว่ามนุษย์อ่อนแอเกินไป ที่จะใช้ชีวิตตามพันธสัญญาฉบับแรก
ในพระคัมภีร์ไบเบิล ชาวอิสราเอลได้กล่าวคำสาบานที่จะใช้ชีวิตโดยพระบัญญัติของพระเจ้า ในเพ็นตาตุค: บทปฐมกาล, บทอพยพ, บทเลวีนิติ, บทกันดารวิถี และบทเฉลยธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงประกาศพระบัญญัติแต่ละประการแก่พวกเขา และเขาจึงกล่าวว่า “ใช่เลย” แก่พระบัญญัติทุกประการโดยไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นได้ว่า หลังจากบทเฉลยธรรมบัญญัติ ตั้งแต่บทโยชูวามานั้น พวกเขาไม่เคยใช้ชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้าเลย จากบทผู้วินิจฉัยไปจนถึงบทพงศ์กษัตริย์ฉบับที่หนึ่งและสอง พวกเขาเริ่มลดความเชื่อมั่นในผู้นำของเขา และหลังจากนั้น ก็เสื่อมลงมากจนต้องเปลี่ยนระบบการบูชาของพลับพลาบริสุทธิ์
และในที่สุดในบทมาลาคี พวกเขาได้นำสัตว์ต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมมาถวาย ทั้งๆ ที่พระบัญชาของพระเจ้าให้ถวายสัตว์ที่ไร้มลทินเท่านั้น เขาถามปุโรหิตทั้งหลายว่า “ได้โปรดแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ได้โปรดยอมรับสัตว์นี้เถิด” แทนที่จะถวายเครื่องบูชาตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า เขาจึงเปลี่ยนแปลงสัตว์นี้โดยพลการ
ประชาชนชาวอิสราเอลไม่เคยรักษาธรรมบัญญัติของพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์แม้แต่ครั้งเดียว ในยุคของพันธสัญญาฉบับเก่านั้น พวกเขาลืมและไม่ใส่ใจในความรอดที่เปิดเผยอยู่ในระบบโดยง่ายดาย ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเปลี่ยนแปลงระบบการบูชา ในบทเยเรมีย์ พระเจ้าตรัสว่า “เราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานอิสราเอลและวงศ์วานยูดาห์”
ขอพวกเราจงดูในบทเยเรมีย์ 31:31-34 ว่า “พระเยโฮวาห์ตรัสว่า ‘ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานอิสราเอลและวงศ์วานยูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย ในวันที่เราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา’ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ ‘แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับวงศ์วานอิสราเอล ภายหลังสมัยนั้น’ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ ‘เราจะบรรจุราชบัญญัติของเราไว้ภายในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้ที่ในดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชาชนของเรา และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตนและพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระเยโฮวาห์’ เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมด ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด’ พระเยโฮวาห์ตรัสดังนี้แหละ "เพราะเราจะให้อภัยความชั่วช้าของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป”
พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะทรงทำพันธสัญญาใหม่ พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับประชาชนอิสราเอลแล้ว แต่เขาใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าล้มเหลว ดังนั้น พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะทำพันธสัญญาแห่งความรอดกับประชาชนของพระองค์ขึ้นใหม่
พวกเขาจึงสาบานต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า “พวกเราจะนมัสการเพียงพระองค์เท่านั้น และใช้ชีวิตตามพระวจนะและพระบัญญัติของพระองค์” พระเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า “เจ้าไม่ควรมีพระเจ้าอื่นนอกจากเรา” และชาวอิสราเอลได้กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะไม่มีทางนมัสการพระเจ้าองค์อื่นหรอก พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเราเพียงพระองค์เดียว จะไม่มีพระเจ้าอื่นใดสำหรับเรา” แต่เขาก็ไม่ทำตามคำสาบาน
ใจความของธรรมบัญญัติประกอบด้วยพระบัญญัติ 10 ประการ: “‘อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา อย่าทำรูปเคารพสลักสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอย่างไร้ประโยชน์ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน” (อพยพ บทที่ 20)
ธรรมบัญญัติยังแบ่งย่อยออกเป็น 613 บทซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ตลอดชีวิตของเขา “สิ่งที่ห้ามกระทำต่อบุตรสาว, และสิ่งที่ห้ามกระทำต่อบุตรชาย, สิ่งที่ต้องกระทำต่อมารดาเลี้ยง...” ธรรมบัญญัติของพระเจ้าได้สั่งให้เขาทำทุกสิ่งที่ดี และไม่ทำในสิ่งชั่วร้าย นี่คือพระบัญญัติ 10 ประการ และรายละเอียดปลีกย่อยอีก 613 บท
อย่างไรก็ตาม ในบรรดามนุษยชาติทุกคนยังไม่มีผู้ใดเลยที่จะรักษาพระธรรมคำสอนทุกบทของธรรมบัญญัติของพระองค์ได้ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงต้องตั้งวิธีอื่นมาให้เขาเพื่อให้รับการช่วยให้รอดพ้นจากความผิดบาปของเขาทั้งหมด
ตำแหน่งปุโรหิตเปลี่ยนแปลงเมื่อไร? หลังจากที่พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ตำแหน่งปุโรหิตได้จึงเปลี่ยนแปลง พระเยซูทรงรับตำแหน่งปุโรหิตจากปุโรหิตทั้งหลายตามสายของอาโรนทั้งหมด พระองค์ทรงแยกการสังเวยบูชาของพลับพลา ที่เป็นสิทธิ์โดยสันดานของปุโรหิตตามบัญชาของเลวีไว้ พระองค์ทรงรับรองพันธกิจเป็นปุโรหิตแห่งสวรรค์เพียงพระองค์เดียว
พระองค์เสด็จมายังโลกนี้ ไม่ใช่เชื้อสายของอาโรน แต่เป็นเชื้อสายของยูดาห์ ครัว เรือนแห่งกษัตริย์ พระองค์ถวายพระองค์เองให้เป็นเครื่องบูชาโดยการรับบัพติศมาของพระองค์ และพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน และทรงช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดจากความผิดบาปของพวกเขา
พระองค์ทรงทำให้มันเป็นไปได้สำหรับเราที่จะแก้ปัญหาความผิดบาปของเราด้วยการเสียสละพระองค์เอง พระองค์ทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของมนุษยชาติผ่านการชำระให้บริสุทธิ์ของบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงอุทิศพระองค์เองเพื่อบาปทั้งหมด
มีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งปุโรหิต
กฎของความรอดที่ เปลี่ยนไปคืออะไร?
การชำระอันเป็นนิรันดร์ของพระเยซู คริสต์
เพื่อนๆที่รัก ตำแหน่งปุโรหิตในพันธสัญญาฉบับเก่าได้เปลี่ยนไปในพันธสัญญาฉบับใหม่ ในช่วงเวลาของพันธสัญญาฉบับเก่านั้น มหาปุโรหิตในบรรดาเชื้อสายของอาโรน ในครัวเรือนของเลวี ได้ถวายเครื่องบูชาเพื่อล้างความผิดบาปของชาวอิสราเอลในปีที่ผ่านมา มหาปุโรหิตได้เข้าไปสู่ที่บริสุทธิ์ที่สุด เขาเข้าไปที่ต่อหน้าพระที่นั่งกรุณาพร้อมกับเลือดของสัตวบูชา มีเพียงมหาปุโรหิตเท่านั้นที่ผ่านม่านเข้าไปสู่ที่บริสุทธิ์ที่สุดได้
แต่หลังจากการเสด็จมาของพระเยซู ตำแหน่งปุโรหิตของอาโรนได้ส่งต่อไปสู่พระองค์ พระเยซูทรงรับตำแหน่งปุโรหิตไปตลอดกาล พระองค์ทรงรับรองพันธกิจเป็นปุโรหิตไปตลอดกาลด้วยการอุทิศพระองค์เอง เพื่อที่มนุษยชาติทั้งหมดจะรอดจากบาปทั้งหมดของพวกเขาได้
ในพันธสัญญาฉบับเก่านั้น มหาปุโรหิตต้องชำระบาปของเขาโดยการวางมือลงบนหัวของวัว ก่อนที่เขาจะสามารถช่วยเหลือประชาชนทั้งหมดของเขา เขาผ่านความผิดบาปของเขาไปโดยการวางมือ และกล่าวว่า “โอพระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำความผิดบาป” แล้วเขาจะฆ่าวัว และประพรมเลือดวัวไปที่พระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้ง
ถ้ามหาปุโรหิตอาโรนเองไม่สมบูรณ์ท่านคงจะจินตนาการได้ว่า ประชาชนจะอ่อนแอเพียงใด บุตรของเลวี มหาปุโรหิตอาโรนเองยังเป็นคนบาปมาก่อน ดังนั้น เขาจึงต้องถวายวัวตัวหนึ่งเพื่อชำระล้างความผิดบาปของเขาเอง และของครอบครัวของเขา
พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ในเยเรมีย์ บทที่ 31 ว่า “เราจะยกเลิกพันธสัญญาเสีย เราได้ทำพันธสัญญากับท่านแต่ท่านไม่รักษามัน ดังนั้นเราแยกพันธสัญญาที่ไม่สามารถชำระท่านให้บริสุทธิ์ได้ออก และเราจะมอบพันธสัญญาของความรอดใหม่ให้ เราจะไม่ช่วยท่านให้รอดผ่านข้อบัญญัติของเราอีกต่อไปแล้ว แต่เราจะมอบความรอดให้ท่านผ่านข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ”
พระเจ้าประทานพันธสัญญาฉบับใหม่ให้แก่เรา เมื่อถึงเวลาพระเยซูจะเสด็จมายังโลกนี้ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ จะทรงเสนอพระองค์เองเพื่อรับเอาความผิดบาปของโลกนี้ และจะหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน เพื่อช่วยเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ให้รอด พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปของมนุษย์ทุกคนไป โดยการรับบัพติศมาของพระองค์
พระราชบัญญัติของพระเจ้าถูกเก็บไว้และถูกแทนที่ ประชาชนชาวอิสราเอลจะรอดได้หากพวกเขาใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่พวกเขากลับทำพลาด “เพราะว่าโดยพระราชบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้” (โรม 3:20)
พระเจ้าทรงต้องการให้ชาวอิสราเอลได้ตระหนักว่า เขาเป็นคนบาป และพระราช บัญญัติไม่สามารถช่วยเขาให้รอดได้ พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดโดยกฏของความรอดของน้ำและพระวิญญาณ มิใช่โดยงานของพวกเขา ในความรักที่เหลือคณานับของพระองค์ พระเจ้าจึงประทานพันธสัญญาฉบับใหม่ให้เรา ที่เราจะรอดจากบาปทั้งหมดของโลกนี้ได้โดยบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซู
ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูโดยที่ไม่รู้จักความหมายของการรับบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อของท่านทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์ เมื่อท่านทำเช่นนั้น ท่านจะมีปัญหามากกว่าการไม่เชื่อในพระเยซูเลยเสียอีก
พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ต้องทำพันธสัญญาฉบับใหม่เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากความผิดบาปของพวกเขา ผลก็คือ ตอนนี้ เราได้รับการช่วยให้รอด ไม่ใช่เพราะกฎของงานของเรา แต่เพราะกฎของความรอดอันชอบธรรมโดยน้ำและพระโลหิต
สิ่งนี้เป็นคำสัญญาอันเป็นนิรันดร์ของพระองค์ และพระองค์ทรงทำคำสัญญาของพระองค์ให้สมบูรณ์เพื่อเราผู้ที่เชื่อในพระเยซู และพระองค์ทรงบอกเราเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของพระเยซู พระองค์ทรงบอกเราว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่เพียงใดเมื่อเปรียบเทียบพระองค์กับปุโรหิตของสายตระกูลอาโรนในพันธสัญญาฉบับเก่า
พวกเราจึงเป็นคนพิเศษโดยการเชื่อในความรอดโดยน้ำและพระโลหิตของพระเยซู โปรดพิจารณาโดยละเอียด ไม่ว่าศิษยาภิบาลของท่านจะเรียนรู้มาและพูดได้ดีเพียงใด เขาจะยิ่งใหญ่กว่าพระเยซูได้อย่างไร? ไม่มีทาง เราจะได้รับการช่วยให้รอดได้โดยข่าวประเสริฐของน้ำและพระโลหิตเท่านั้น มิใช่โดยการเชื่อฟังพระราชบัญญัติของพระเจ้าโดยง่ายดาย เพราะตำแหน่งปุโรหิตได้เปลี่ยนไป กฎของความรอดก็เปลี่ยนไปด้วย
ความเหนือกว่าของความรักของพระเจ้า
สิ่งใดที่อยู่เหนือกว่ากันระหว่างความรัก ของพระเจ้า หรือพระราชบัญญัติของพระเจ้า?
ความรักของพระเจ้า
เราจะได้รับการช่วยให้รอดได้เมื่อเราเชื่อในพระเยซู โดยรู้ว่าพระเยซูทรงช่วยเราให้รอดได้อย่างไร และความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างความเชื่อในพระบัญญัติ และความเชื่อในความยิ่งใหญ่ของความความรักของพระเจ้า?
ผู้ที่เคร่งในพระบัญญัติให้ความสำคัญต่อหลักคำสอนตามนิกายของพวกเขาเอง และประสบการณ์ส่วนตัวมากกว่าพระวจนะของพระเจ้า อย่างไรก็ตามความเชื่อทางวิญญาณในพระเยซูที่แท้จริงและสมบูรณ์ คือการเชื่อเรื่องความยิ่งใหญ่ของความรอดที่สมบูรณ์โดยน้ำและพระวิญญาณ
แม้แต่วันนี้ หลายคนกล่าวว่า ความผิดบาปดั้งเดิมได้รับการอภัยแล้ว แต่พวกเขาต้องกลับใจใหม่สำหรับความผิดบาปในแต่ละวันของพวกเขาทุกวัน หลายคนเชื่อเรื่องนี้ และพยายามที่จะใช้ชีวิตของเขาตามพระบัญญัติของพันธสัญญาฉบับเก่าเขายังคงไม่รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของการช่วยให้รอดของพระเยซู ซึ่งมาพร้อมกับน้ำและพระวิญญาณ
ในพันธสัญญาฉบับเก่านั้น ชาวอิสราเอลต้องใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติของพระเจ้าเพื่อได้รับการช่วยให้รอดจากความผิดบาปของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงรับรู้ความอ่อนแอของเราและความจริงก็คือว่าเรานั้นไม่สมบูรณ์ พระองค์จึงทรงเก็บพระบัญญัติของพระองค์ไว้ เราจึงไม่มีทางรอดได้ผ่านการทำงานของเราเพียงอย่างเดียว พระเยซูตรัสว่า พระองค์จะทรงช่วยเราผ่านข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “เราจะปลดปล่อยเจ้าทุกคนจากความผิดบาปของเจ้าด้วยตัวเราเอง” พระเจ้าทรงเผยพระวจนะไว้ในปฐมกาล
“เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นปฏิปักษ์กัน ทั้งเชื้อสายของเจ้ากับเชื้อสายของนาง เชื้อสายของนางจะกระทำให้หัวของเจ้าฟกช้ำ และเจ้าจะกระทำให้ส้นเท้าของท่านฟกช้ำ” (ปฐมกาล 3:15) หลังจากที่อาดัมและอีฟทำความผิดและพลาด เขาจึงเอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้ เพื่อซ่อนความผิดของเขาให้พ้นจากพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงเรียกเขามาและทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ ให้เป็นสัญลักษณ์ของความรอด บทปฐมกาลกล่าวถึงเครื่องปกปิดร่างกายสองชนิด ชนิดหนึ่งทำด้วยใบมะเดื่อ และอีกชนิดหนึ่งทำด้วยหนังสัตว์ ท่านคิดว่า ชนิดไหนดีกว่ากัน? แน่นอน เสื้อที่ทำด้วยหนังสัตว์ย่อมดีกว่า เพราะชีวิตของสัตว์ถูกมอบให้มาปกป้องมนุษย์
เสื้อที่ทำด้วยใบมะเดื่อก็จะเหี่ยวเร็ว ดังที่ท่านรู้ ใบมะเดื่อมีรูปร่างคล้ายมือคน ที่มี 5 นิ้ว ดังนั้น การสวมเสื้อที่ทำจากใบมะเดื่อ ย่อมหมายถึง การปกปิดความผิดบาปของผู้ใดผู้หนึ่งไว้เบื้องหลังการทำความดี ถ้าท่านสวมเสื้อที่ทำด้วยใบมะเดื่อ แล้วนั่งลง ใบมะเดื่อก็จะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ผู้เขียนเคยทำเสื้อเกราะที่ทำจากใบเท้ายายม่อม เพื่อใช้เล่นเป็นทหาร เมื่อตอนผู้เขียนเป็นเด็ก แต่ไม่ว่าผู้เขียนจะสวมมันอย่างระมัดระวังเพียงใด มันก็ฉีกออกจากกันเมื่อสิ้นวันนั้น ในขณะวิธีเดียวกันนั้น ผิวหนังอันบอบบางของมนุษย์จะทำให้บริสุทธิ์ไม่ได้
แต่ความรอดของน้ำและพระโลหิต ที่เป็นการรับบัพติศมาของพระเยซู และการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์ จะช่วยคนบาปมากมายให้รอดเพื่อเป็นพยานต่อความยิ่งใหญ่ของความรักของพระเจ้า นั่นคือ
มากกว่าที่จะให้คนบาปในจำนวนที่พอเหมาะมาพิสูจน์ความยิ่งใหญ่แห่งความรักของพระเจ้า นั่นคือการที่ความรักของพระเจ้านั้นอยู่เหนือกว่าพระราชบัญญัติของพระเจ้า
คนทั้งหลายที่ยังคงมีความเชื่อในพระราชบัญญัติของพระเจ้า
เหตุใดผู้ที่เคร่งในพระราชบัญญัติจึงทำเสื้อใหม่ ที่ทำด้วยงานของเขาอยู่ทุกวัน?
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า งานของเขา ไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนชอบธรรมได้
คนทั้งหลายที่ทำเสื้อของเขาด้วยใบมะเดื่อกำลังนำทางชีวิตไปตามกฎ ผู้ที่เชื่อที่ถูกนำทางไปในทางที่ผิดนี้ต้องเปลี่ยนเสื้อของเขาบนพื้นฐานทั่วไป พวกเขาต้องทำเสื้อใหม่ทุกวันอาทิตย์ เมื่อเขาไปโบสถ์ “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ทำความผิดบาปมามาก เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์บนไม้กางเขน พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดชำระล้างความผิดบาปของข้าพระองค์ด้วยพระโลหิตบนไม้กางเขนด้วยเถิด!” เขาเย็บเสื้อชุดใหม่ขึ้นมาทันทีที่นั่น “โอ ขอสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ฮาเลลูยา!”
แต่ในไม่ช้าพวกเขาต้องทำเสื้ออีกชุดหนึ่งที่บ้าน ทำไมล่ะ? เพราะเสื้อเก่าของเขาถูกฉีกแล้ว “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ทำความผิดบาปอีกเมื่อ 3 วันที่แล้ว ขอพระองค์ทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” เขาจึงทำเสื้อใหม่แห่งการกลับใจใหม่อีกครั้งแล้วสวมอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
แรก ๆ เสื้อผ้าอาจจะใช้ได้หลายวัน แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้เสื้อชุดใหม่ทุกวัน ตามที่พวกเขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ตามพระราชบัญญัติของพระเจ้าได้ พวกเขาจึงรู้สึกอายแก่ตัวเอง “โอ เรื่องนี้มันช่างน่าอายเสียจริง พระองค์เจ้าข้า โอ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ทำความผิดบาป!” และเขาต้องทำเสื้อแห่งการกลับใจใหม่ “โอ พระองค์เจ้าข้า มันยากมากที่จะทำเสื้อที่ทำด้วยใบมะเดื่อ ในวันนี้” เขาทำงานหนักมากที่ต้องเย็บชุดใหม่
เมื่อใดก็ตามที่คนเช่นนั้นเรียกขานพระผู้เป็นเจ้า มันคือการสารภาพความผิดบาปของพวกเขา พวกเขากัดปากตัวเองและเรียกขานพระเจ้า “พระองค์เจ้า~ข้า!” และยังคงทำเสื้อใหม่ทุกวัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกเขารู้สึกเหนื่อย?
พวกเขาจะขึ้นไปบนเขาและอดอาหารปีละครั้งหรือสองครั้ง พวกเขาพยายามทำเสื้อที่แข็งแรงและหนาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อที่จะสวมใส่ “พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงชำระล้างความผิดบาปของข้าพระองค์ด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงทำข้าพระองค์ใหม่อีกครั้ง ข้าพระองค์เชื่อในพระองค์ พระองค์เจ้าข้า” พวกเขาคิดว่ามันดีกว่าที่จะอธิษฐานตอนกลางคืน ดังนั้น พวกเขาจึงพักผ่อนในช่วงกลางวัน และทันทีที่ความมืดปกคลุม พวกเขาจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขา หรืออาจจะเข้าไปในถ้ำมืด ๆ แล้วเรียกขานพระเจ้า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อแล้ว!” “♪ข้าพระองค์ขอกลับใจใหม่ และในใจของข้าพระองค์นี้เต็มไปด้วยความสำนึกผิด♪” พวกเขาอธิษฐานด้วยเสียงอันดังและตะโกนว่า “ข้าพระองค์เชื่อแล้ว” เขาทำเสื้อแบบพิเศษด้วยวิธีนี้โดยที่มีความหวังว่าจะใช้ได้นาน ๆ แต่พวกเขากลับทำไม่ได้
โอ ช่างสดชื่นจริงๆ ที่ลงมาจากการอธิษฐานบนภูเขา! วิญญาณของเขาเต็มไปด้วยความสงบสุข และพระกรุณาแห่งพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับสายลมที่ทำให้สดชื่น หรือสายฝนในฤดูใบไม้ผลิที่โปรยปรายใส่ต้นไม้และดอกไม้ รู้สึกสดชื่นกว่าวิญญาณแห่งขุนเขา พวกเขาเผชิญโลกพร้อมกับสวมเสื้อชุดใหม่เป็นพิเศษของตน
แต่ในทันทีที่พวกเขากลับบ้านและโบสถ์ และเริ่มใช้ชีวิตอีกครั้ง เสื้อก็สกปรกและเริ่มฉีกขาด
เพื่อนเขาถามว่า “คุณไปที่ไหนมา?”
“อือ์ม ฉันไปอยู่ที่อื่นมาพักหนึ่ง”
“ดูเหมือนคุณจะน้ำหนักลดลงนะ!”
“อือ์ม, ใช่, แต่ช่างเถอะ”
พวกเขาไม่เคยเปิดเผยว่า เขาอดอาหารมา พวกเขาเพียงแค่ไปที่โบสถ์และอธิษฐานว่า “ข้าพระองค์จะไม่ล่วงประเวณีหญิงใด ข้าพระองค์จะไม่พูดปด ข้าพระองค์จะไม่โลภอยากได้บ้านของเพื่อนบ้าน ข้าพระองค์จะรักทุกคน”
แต่ในขณะที่พวกเขาเห็นหญิงผู้หนึ่งที่มีหน้าอกเต่งตึงและเรียวขาอันสวยงาม ความบริสุทธิ์ในใจของเขาก็เปลี่ยนเป็นความหลงใหลทันที “ดูนั่น กระโปรงสั้นดีจริง ๆ! กระโปรงมันสั้นขึ้น สั้นขึ้น! ฉันอยากเห็นเรียวขานั่นอีก! โอ! ไม่! โอ! พระองค์เจ้าข้า! ข้าพระองค์ทำความผิดบาป อีกแล้ว!”
ผู้ที่ทำตามข้อบัญญัติดูเหมือนจะเคร่งศาสนา แต่ท่านควรรู้ว่า พวกเขาต้องทำเสื้อใหม่ทุกวัน บัญญัตินิยมคือ การเชื่อในเสื้อที่ทำด้วยใบมะเดื่อ เป็นความเชื่อที่ผิด หลายๆ คนพยายามอย่างหนักที่จะใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด เขาร้องตะโกนบนเขาจนสุดเสียง เพื่อว่าเสียงของเขาจะฟังดูเคร่งครัด
ผู้ที่ทำตามบัญญัติจะทิ้งภาพที่อยู่ในความทรงจำไปเมื่อพวกเขานำการอธิษฐานในคริสตจักร “พระบิดาผู้บริสุทธิ์ในสรวงสวรรค์! เราได้ทำความผิดบาปในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ขอพระองค์ทรงอภัยให้เราด้วยเถิด...” พวกเขาจะร้องห่มร้องไห้และผู้ร่วมชุมนุมที่เหลือก็จะทำตาม พวกเขาจะคิดกับตัวเองว่า “เขาต้องใช้เวลาอธิษฐานบนเขาและอดอาหารเป็นเวลานาน เขาฟังดูเคร่งครัดและน่าเชื่อถือมาก” แต่เพราะความเชื่อของเขานั้นยึดถือตามบัญญัติ แม้แต่ก่อนที่จะอธิษฐานจะจบ หัวใจของพวกบัญญัตินิยมก็จะเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและบาป
เมื่อผู้คนทำเสื้อใหม่ที่ทำด้วยใบมะเดื่อเป็นพิเศษ ซึ่งอาจจะใช้ได้นานประมาณ 2–3 เดือน แต่ไม่ช้าก็เร็ว เสื้อผ้าก็จะขาด แล้วเขาต้องทำชุดใหม่ขึ้นมา และยังคงใช้ชีวิตที่หลอกลวงของเขาอยู่ต่อไป นี่คือ ชีวิตของผู้ที่เชื่อตามข้อบัญญัติผู้ที่พยายามจะใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติเพื่อให้ได้รับความรอด เขาต้องทำเสื้อที่ทำด้วยใบมะเดื่อตัวใหม่โดยไม่รู้จักจบสิ้น
บัญญัตินิยมคือ การเชื่อของใบมะเดื่อ ผู้ที่ทำตามพระบัญญัติจะบอกท่านว่า “คุณทุกคนทำความผิดบาปกันในสัปดาห์ที่ผ่านมาใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้น จงกลับใจใหม่”
เขาตะโกนใส่คุณด้วยเสียงอันดังว่า “จงกลับใจใหม่! จงอธิษฐาน!”
พวกบัญญัตินิยมรู้ว่า จะทำเสียงของเขาให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร “พระองค์เจ้าข้า! ข้าพระองค์เสียใจ ข้าพระองค์ไม่ได้ใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติ ข้าพระองค์ไม่ได้ทำตามพระบัญญัติของพระองค์ ขอพระองค์ทรงอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงอภัยให้ข้าพระองค์อีกครั้งหนึ่งด้วยเถิด”
พวกเขาไม่มีทางใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำอย่างองอาจ แต่ในความเป็นจริง พวกเขากำลังท้าทายพระราชบัญญัติของพระเจ้า และพระเจ้าเอง พวกเขาหยิ่งผยองต่อพระพักตร์พระเจ้า
ความชอบของชูดาล เบอี
เหตุใดพระเจ้าจึงทรงแยก พระราชบัญญัติเก็บไว้?
เพราะมันไม่มีประโยชน์ ที่จะช่วยเราให้รอดจากบาปได้
ครั้งหนึ่ง มีชายผู้หนึ่งชื่อว่า ชูดาล เบอี ในปี 1950 ของช่วงสงครามเกาหลี ทหารคอมมิวนิสต์มาหาเขา และสั่งให้เขากวาดลานบ้านในวันสะบาโต เพื่อที่จะปล้นเขาจากความเชื่อยึดมั่นในศาสนาและทำให้เขาเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ชายหนุ่มผู้เคร่งศาสนาผู้นี้ก็ไม่ยอมฟังคำสั่งของเขา พวกเขาบังคับอีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมฟัง
ในที่สุด พวกทหารจึงผูกเขาติดกับต้นไม้และเล็งปืนไปที่เขา ถามว่า “แกจะเอายังไง จะไปกวาดลานบ้าน หรือจะยอมถูกฆ่า?”
เมื่อถูกบังคับให้ตัดสินใจ เขาจึงตอบว่า “ผมยอมตายดีกว่าทำงานในวันสะบาโตอันบริสุทธิ์”
“แกเลือกแล้วนะ แล้วเราก็เต็มใจสนองตอบแก”
แล้วพวกเขาก็ยิงชายผู้นั้น ต่อมาผู้นำคริสตจักรจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นนักบวชหลังจากที่ตายแล้ว เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความศรัทธาในศาสนาอันมั่นคงของเขา
ตามความตั้งใจอันแรงกล้าของเขานั้น ความเชื่อในศาสนาของเขาได้ถูกนำทางไปผิดๆ เหตุใดเขาจึงไม่ไปกวาดลานบ้านและเผยแพร่ข่าวประเสริฐให้แก่ทหารเหล่านั้นล่ะ? เหตุใดเขาต้องดื้อดึงและเสี่ยงชีวิตเพื่อมันด้วย? พระเจ้าจะทรงสรรเสริญเขาหรือที่เขาไม่ทำงานในวันสะบาโต? ไม่เลย
เราควรนำชีวิตทางจิตวิญญาณไป ไม่ใช่การกระทำของเราหรอก แต่เป็นความเชื่อของเราที่มีความสำคัญเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้นำคริสตจักรต้องการฉลองให้ใครบางคนดังเช่นชูดาล เบอี เพราะเขาต้องการแสดงความเหนือกว่า และความเห็นอย่างคนทั่วๆ ไปของนิกายของเขาเอง จึงเหมือนกับพวกฟาริสีที่หลอกลวงซึ่งท้าทายพระเยซู
ไม่มีสิ่งใดที่เราจะเรียนรู้ได้จากพวกบัญญัตินิยมได้ เราจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับความเชื่อทางจิตวิญญาณ เราจึงควรไตร่ตรองว่า เหตุใดพระเยซูจึงทรงรับบัพติศมา และทรงหลั่งโลหิตบนไม้กางเขน และถามถึงธรรมชาติแห่งข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณ
เราจึงควรพยายามหาคำตอบของคำถามนั้นเสียก่อน และจากนั้นจึงพยายามเผยแพร่ข่าวประเสริฐให้แก่ทุกคนในโลกนี้ เพื่อว่าเขาจะได้เกิดใหม่ เราจึงควรอุทิศชีวิตของเราแก่งานแห่งจิตวิญญาณนี้
ถ้าผู้สั่งสอนบอกท่านว่า “จงเป็นเช่นชายหนุ่มชูดาล เบอีผู้นี้ จงรักษาวันสะบาโตบริสุทธิ์” เขาก็เพียงแค่พยายามให้ท่านมาคริสตจักรในวันอาทิตย์เท่านั้นเอง
นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะพิสูจน์ความกระจ่างได้ มีหญิงผู้หนึ่งที่พยายามไปโบสถ์ในวันอาทิตย์อยู่หลายครั้ง พ่อแม่สามีของเธอไม่ใช่คริสเตียน และพวกเขาจึงพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้เธอไปโบสถ์ พวกเขาบอกให้เธอทำงานในวันอาทิตย์ แต่เธอก็ออกไปในสวนในคืนวันเสาร์ และทำงานใต้แสงจันทร์ เพื่อว่าครอบครัวนี้จะได้ไม่ห้ามให้เธอไปโบสถ์ในวันอาทิตย์
แน่นอน การไปโบสถ์เป็นสิ่งสำคัญ แต่มันเพียงพอแล้วหรือที่มาภาวนาทุกวันอาทิตย์ เพียงเพื่อแสดงว่า เราศรัทธามากเพียงไร? ความศรัทธาที่แท้จริงคือ การเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ ความเชื่อที่แท้จริงเริ่มขึ้นเมื่อใครบางคนกลับมาเกิดใหม่
ท่านจะรอดจากความผิดบาปของท่าน โดยการใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ได้ ผมไม่ได้สอนให้ท่านเลิกใส่ใจต่อพระราชบัญญัติ แต่เราทุกคนรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะทำตามพระธรรมคำสอนของพระราชบัญญัติได้ทุกประการ
ยากอบ 2:10 กล่าวว่า “เพราะว่าผู้ใดรักษาพระราชบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดพระราชบัญญัติทั้งหมด” ดังนั้น จงคิดเสียก่อนว่า ท่านจะเกิดใหม่โดยข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณได้อย่างไร แล้วจงไปโบสถ์ที่ท่านจะได้รับฟังข่าวประเสริฐ ท่านจะนำทางชีวิตของความเชื่อไปได้หลังจากที่ท่านเกิดใหม่แล้ว ดังนั้น เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียก ท่านจึงจะได้ไปอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความเปรมปรีย์
จงอย่าเสียเวลาไปโบสถ์ที่ผิด จงอย่าเสียเงินค่าเครื่องบูชาที่นำไปในทางที่ผิด ปุโรหิตที่ผิดจะนำท่านขึ้นจากนรกไม่ได้ ขั้นแรกจงรับฟังข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณแล้วจงเกิดใหม่
จงคิดถึงเหตุผลที่พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ ถ้าเราเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้โดยการใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติ พระองค์จะไม่เสด็จมายังโลกนี้ หลังจากที่พระองค์เสด็จมา ตำแหน่งปุโรหิตจึงเปลี่ยนไป บัญญัตินิยมจึงกลายเป็นสิ่งหนึ่งในอดีต ก่อนที่เราจะได้รับการช่วยให้รอด เราคิดว่า เราจะรอดได้โดยการใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติ แต่สิ่งนี้จะไม่ใช่สัญลักษณ์ของความเชื่อที่แท้จริงอีกต่อไป
พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ ด้วยความรักของพระองค์ ด้วยน้ำจากการรับบัพติศมาของพระองค์ ด้วยพระโลหิตและพระวิญญาณของพระองค์ ที่พระองค์ทรงทำความรอดของเราให้สมบูรณ์ผ่านบัพติศมาของพระองค์ ณ แม่น้ำจอร์แดน พระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาจากความตาย
พระเจ้าทรงแยกพระบัญญัติฉบับก่อนเก็บไว้ เพราะมันอ่อนแอและไร้ประโยชน์ “เพราะว่าพระราชบัญญัตินั้นไม่ได้ทำอะไรให้ถึงความสำเร็จ แต่ได้นำความหวังอันดีกว่าเข้ามา และโดยความหวังนั้นเราทั้งหลายจึงเข้ามาใกล้พระเจ้า ที่ว่าดีกว่านั้นก็เพราะว่า ปุโรหิตคนนั้นได้ทรงตั้งขึ้นโดยทรงปฏิญาณไว้” (ฮีบรู 7:19–20) พระเยซูทรงสัญญาไว้และทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากความผิดบาปของเราทั้งหมด โดยการรับบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์ ความทนทุกข์ยากของบัญญัตินิยมนั้นไร้ผล และมีเพียงการเชื่อที่แท้จริงเท่านั้นที่เป็นการเชื่อในข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณ
เราต้องมีความเชื่อที่เป็นผล ท่านคิดว่าสิ่งใดที่ดีต่อจิตวิญญาณของท่าน? มันจะดีกว่าหรือไม่ที่จะเข้าร่วมคริสตจักรเป็นประจำและใช้ชีวิตโดยพระราชบัญญัติ หรือจะดีกว่าที่จะเข้าร่วมกับคริสตจักรของพระเจ้า ที่ซึ่งได้ประกาศข่าวประเสริฐของการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ เพื่อที่ท่านจะได้กลับมาเกิดใหม่? คริสตจักรใด และผู้เผยพระวจนะผู้ใดที่จะให้ประโยชน์ต่อวิญญาณของท่านมากกว่ากัน? จงคิดถึงเรื่องนี้ และเลือกประการใดประการหนึ่งที่ดีต่อวิญญาณของท่านเอง
พระเจ้าทรงช่วยจิตวิญญาณของท่านให้รอดผ่านผู้สั่งสอนที่มีพระวจนะของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ทุกๆคนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อจิตวิญญาณของเขาเอง ผู้ที่เชื่อที่ฉลาดอย่างแท้จริงคือผู้ที่ยอมรับจิตวิญญาณของเขาต่อพระวจนะของพระเจ้า
พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตโดยคำปฏิญาณ
เชื้อสายตระกูลของเลวีได้ตั้ง ปุโรหิตโดยคำปฏิญาณใช่หรือไม่?
ไม่ใช่ มีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่ได้รับ การตั้งเป็นปุโรหิตโดยคำปฏิญาณ
ฮีบรู 7:20-21 กล่าวว่า “ที่ที่ว่าดีกว่านั้นก็เพราะว่า ปุโรหิตคนนั้นได้ทรงตั้งขึ้นโดยทรงปฏิญาณไว้ (บรรดาปุโรหิตเหล่านั้นไม่มีการกล่าวปฏิญาณเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง แต่ส่วนปุโรหิตนี้มีคำกล่าวปฏิญาณจากพระองค์ว่า `องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณแล้ว และจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค’)”
และในบทสดุดี 110:4 กล่าวว่า “พระเยโฮวาห์ทรงปฏิญาณแล้วและจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ว่า ‘เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค’” พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณ พระองค์ทรงทำพันธสัญญากับเรา และแสดงแก่เราโดยพระวจนะที่จารึกไว้ว่า “เราจะเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค เมลคีเซเดคทรงเป็นกษัตริย์แห่งความชอบธรรม กษัตริย์แห่งความสงบสุข และมหาปุโรหิตตลอดไป เราจะเป็นมหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ตามสายของเมลคีเซเดคเพื่อความรอดของเจ้า”
พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ และทรงเป็นผู้รับประกันแห่งพันธสัญญาอันดี (ฮีบรู 7:22) แทนที่จะใช้เลือดวัวและเลือดแพะ พระองค์ทรงถวายพระองค์เองให้เป็นเช่นเครื่องบูชา โดยทรงรับบัพติศมา และทรงหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเราทั้งหมด
ในยุคของพันธสัญญาฉบับเก่า เมื่อมหาปุโรหิตเสียชีวิต บุตรของเขาจะสืบต่อตำแหน่งปุโรหิต เมื่อเขาอายุได้ 30 ปี เมื่อเขาชราลง และบุตรชายของเขาอายุได้ 30 ปี เขาก็จะมอบตำแหน่งปุโรหิตให้แก่บุตรของเขา
มีเชื้อสายของมหาปุโรหิตอีกหลายคน ดังนั้น ดาวิดจึงตั้งระบบขึ้นมาระบบหนึ่ง โดยที่เขารับหน้าที่แทนทั้งหมด เพราะเชื้อสายของอาโรนทุกคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต เขาจึงมีสิทธิและหน้าที่ในการปกครองปุโรหิต ลูกากล่าวว่า “เศคาริยาห์อยู่ในเวรอาบียาห์...ขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิต เข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อกองเวรของท่านเข้าประจำการ...”
พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ และทรงรับตำแหน่งปุโรหิตชั่วนิรันดร์ พระองค์เสด็จมาดังเช่นมหาปุโรหิตของสิ่งที่ดีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระองค์ทรงทำตามการช่วยให้รอดแห่งการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ
เชื้อสายของอาโรนนั้นอ่อนแอและไม่สมบูรณ์ในเนื้อหนัง จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมหาปุโรหิตเสียชีวิต? บุตรชายของเขาจะรับตำแหน่งมหาปุโรหิตต่อ แต่การบูชาแต่ละครั้งจะไม่ได้ทำให้ความรอดของมนุษยชาติมั่นคงเพียงพอ ความเชื่อผ่านมนุษยชาติไม่มีทางเป็นความเชื่อที่แท้จริงและสมบูรณ์ได้
ในยุคของพันธสัญญาฉบับใหม่ พระเยซูเสด็จมาโลกนี้ แต่พระองค์ไม่ทรงต้องการให้ถวายเครื่องบูชาไปเรื่อยๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่ตลอดกาล พระองค์จึงทรงรับเอาความผิดบาปของเราไว้ด้วยการรับบัพติศมาของพระองค์ตลอดไป พระองค์ทรงถวายพระองค์เอง และทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อทำให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์หลุดพ้นจากความผิดบาปโดยสมบูรณ์
ขณะนี้ พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่และทรงประทับอยู่ทางเบื้องพระหัตถ์ขวาของพระเจ้า เพื่อเป็นพยานเพื่อเรา “พระบิดาเจ้าข้า พวกเขาอาจจะยังไม่สมบูรณ์ แต่พวกเขาเชื่อในข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้รับเอาความผิดบาปของพวกเขาทั้งหมดมาไว้เป็นเวลานานแล้วหรือ?” พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตของความรอดของเราชั่วนิรันดร์
ปุโรหิตทางโลกไม่เคยสมบูรณ์ เมื่อเขาเสียชีวิต บุตรชายของเขาก็จะตำแหน่งปุโรหิตต่อ พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอยู่ชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงทำให้ความรอดที่เป็นนิรันดร์สำเร็จลงเพื่อเรา โดยการเสด็จมายังโลกนี้ ทรงรับบัพติศมาจากยอห์น ผู้ให้บัพติศมา แล้วทรงหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขนเพื่อความผิดบาปของเราทั้งหมด
“ดังนั้นเมื่อมีการลบบาปแล้วก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปอีกต่อไป”(ฮีบรู 10:18) พระเยซูทรงเป็นพยานต่อความรอดของเราจนกระทั่งเวลาสุดท้าย ท่านได้เกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณไหม?
“มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง ประทับอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์” (ฮีบรู 7:26) “ด้วยว่าพระราชบัญญัตินั้นได้แต่งตั้งมนุษย์ที่อ่อนกำลังขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่คำทรงปฏิญาณนั้นซึ่งมาภายหลังพระราช บัญญัติ ได้ทรงแต่งตั้งพระบุตรขึ้น ผู้ถึงความสำเร็จเป็นนิตย์” (ฮีบรู 7:28)
สิ่งที่ผมต้องการจะบอกท่านคือพระเยซู คริสต์ ผู้ปราศจากมลทินบาป ทรงรับเอาความผิดบาปของเราไว้ทั้งหมดเพียงครั้งเดียว โดยน้ำจากบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากความผิดบาปของเราทั้งหมด มิใช่โดยพระราชบัญญัติของงาน แต่โดยการรับเอาความผิดบาปของเราทั้งหมดไป และทรงรับการพิพากษาตลอดไป
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดจากความผิดบาปของเราทั้งหมด โดยการช่วยให้รอดชั่วนิรันดร์? ถ้าท่านเชื่อ ท่านก็ได้รับการช่วยให้รอด แต่ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านจำต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการช่วยให้รอดชั่วอันเป็นนิรันดร์ของพระเยซูอีกมาก
ความเชื่อที่แท้จริงมาจากข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณบนพื้นฐานของพระคัมภีร์ไบเบิลโดยเคร่งครัด พระเยซู คริสต์ มหาปุโรหิตแห่งสรวงสวรรค์ชั่วนิรันดร์ ทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของเราชั่วนิรันดร์ โดยการรับบัพติศมา และพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน
เราต้องเข้าใจความเชื่อของเราอย่างแท้จริง
“การเชื่อในพระเยซู” หมายความว่าอย่างไร?
การมีความเชื่อในบัพติศมาของพระเยซู และ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน
เราต้องคิดว่าเราจะเชื่อในพระเยซูด้วยวิธีที่ถูกต้องและทำให้ความเชื่อของเราให้แน่วแน่ได้อย่างไร? เราจะเชื่อในพระเยซูด้วยวิธีที่ถูกต้องได้อย่างไร? เราทำได้โดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของบัพติศมาของพระเยซู และพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน
ความเชื่อที่ถูกต้องคือ การเชื่อในงานของพระเยซู ในการรับบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์ โดยไม่ใส่ความคิดผิดๆของเราเอง ท่านเชื่อหรือไม่? แต่สภาวะทางจิตวิญญาณของท่านเป็นอย่างไร? ท่านเชื่อมั่นในงานและความพยายามของท่านเองหรือไม่?
เวลาผ่านไปไม่นานหลังจากที่ผมเริ่มต้นเชื่อในพระเยซู แต่ผมก็ทุกข์ทรมาณมาประมาณสิบปีเพราะบัญญัตินิยม แต่ในที่สุด ผมก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตเช่นนั้น ผมจึงไม่ชอบย้ำเตือนตนเองถึงช่วงนั้น ภรรยาของผมก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วยกันในขณะนี้ เธอรู้ว่า ช่วงนั้นมันน่ากลัวเพียงไรสำหรับเรา
ในวันอาทิตย์ ผมจะพูดว่า “ที่รัก วันนี้ เรามาสนุกกันดีกว่า”
“แต่วันนี้เป็นวันอาทิตย์นะ!”
เธอจะไม่ซักผ้าในวันอาทิตย์ วันอาทิตย์วันหนึ่ง กางเกงของผมขาด แต่เธอบอกให้ผมรอจนถึงวันจันทร์ ตามข้อเท็จจริงแล้วผมก็ยังยืนยันว่า เราได้ศึกษาเรื่องวันสะบาโตมาอย่างถูกต้องแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากมาก เราไม่เคยได้พักผ่อนในวันอาทิตย์เพราะมันยากที่จะรักษาวันสะบาโตไว้อย่างถูกต้องได้ ผมยังคงจำวันต่าง ๆ นั้นได้
สหายที่รัก การวางใจในพระเยซูที่แท้จริงนั้น เราต้องเชื่อเรื่องการชำระล้างความผิดบาปของเราโดยการรับบัพติศมาและพระโลหิตบนไม้กางเขนของพระองค์ ความเชื่อที่แท้จริงคือ การเชื่อในความเป็นพระผู้เป็นเจ้า และความเป็นมนุษย์ของพระเยซู และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำในโลกนี้ ความเชื่อด้วยความศรัทธาที่แท้จริงในพระวจนะของพระองค์ทุกประการ
“การเชื่อในพระเยซู” หมายถึงอะไร? คือ การเชื่อในการรับบัพติศมาของพระเยซู และพระโลหิตของพระองค์ มันช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้ ทุกสิ่งที่เราต้องทำคือ การอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล และเชื่อในข่าวประเสริฐ เราควรเชื่อทุกสิ่งในทางที่ถูกต้อง
“ขอขอบคุณ พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ ข้าพระองค์เข้าใจแล้วว่า ไม่ใช่เพราะความพยายามของข้าพระองค์! เพราะว่าโดยพระราชบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ (โรม 3:20) ข้าพระองค์เข้าใจทุกอย่างแล้วในขณะนี้ ข้าพระองค์คิดว่า เพราะพระราชบัญญัติเป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นพระบัญญัติของพระเจ้า ข้าพระองค์จึงควรพยายามใช้ชีวิตด้วยสิ่งนั้น ข้าพระองค์พยายามอย่างมากจนถึงบัดนี้ แต่ตอนนี้ ข้าพระองค์เห็นแล้วว่า ข้าพระองค์คิดผิดที่ว่า ข้าพระองค์ใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติได้ ข้าพระองค์เห็นแล้วว่า ข้าพระองค์ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้ ดังนั้น ตอนนี้ ข้าพระองค์รู้แล้วว่า จิตใจของข้าพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย และความผิดบาปโดยพระราชบัญญัติของพระเจ้า บัดนี้ ข้าพระองค์เข้าใจแล้วว่า พระราชบัญญัตินั้น พระองค์ทรงประทานมาเพื่อปลูกฝังความรู้เรื่องความผิดบาปให้แก่เรา โอ ขอบคุณ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ผิด และพยายามอย่างหนักที่จะทำตามพระราชบัญญัติ ข้าพระองค์ช่างจองหองสิ้นดีที่พยายามทำเช่นนั้น ข้าพระองค์รู้สึกเสียใจ บัดนี้ ข้าพระองค์รู้แล้วว่า พระเยซูทรงรับบัพติศมา และทรงหลั่งพระโลหิต เพื่อการช่วยให้รอดของข้าพระองค์! ข้าพระองค์เชื่อแล้ว!”
ท่านต้องเชื่ออย่างจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ ท่านควรเชื่อเพียงพระวจนะที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น นี่เป็นเพียงหนทางเดียวที่ท่านจะได้กลับมาเกิดใหม่โดยสมบูรณ์
การเชื่อในพระเยซูคืออะไร? เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้สมบูรณ์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งใช่หรือไม่? ความเชื่อของเราเป็นศาสนาหนึ่งที่ท่านต้องทำงานให้ใช่หรือไม่? มนุษย์เราสร้างพระเจ้าขึ้นมา และเขาสร้างศาสนาที่คู่ควรแก่พระเจ้านั้นๆขึ้นมา ศาสนาคือ กระบวนการที่มนุษย์ทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย – คือการปรารถนาความดีของมนุษย์
ถ้าเช่นนั้น ความเชื่อคืออะไร? หมายถึงการเชื่อในพระเจ้าและเงยหน้าขึ้นดูพระองค์ เราเงยหน้าสู่ความรอดของพระเยซูและขอบคุณพระองค์สำหรับพระพรนี้ นี่คือความเชื่อที่แท้จริง นี่คือความแตกต่างระหว่างความเชื่อและศาสนา ครั้นที่ท่านแยกแยะความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้ได้ ท่านก็จะได้ 100 คะแนนสำหรับความเข้าใจในความเชื่อของท่าน
นักเทววิทยาที่ไม่ได้กลับมาเกิดใหม่ บอกเราว่า เราควรเชื่อในพระเยซู และใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัด ผู้ใดผู้หนึ่งจะมีความเชื่อได้เพียงเพราะเป็นคนเคร่งครัดเช่นนั้นหรือไม่? แน่นอน เราต้องเป็นคนดี ผู้ที่นำทางชีวิตอันเคร่งครัดกว่าพวกเรานั้น จะได้เกิดใหม่เช่นนั้นหรือ?
แต่วัตถุประสงค์คือว่า พวกเขากำลังบอกเรื่องนี้ให้คนบาปทั้งหลาย มีความผิดบาปอยู่ 12 ชนิดภายในคนบาปทั่วๆไป แล้วเขาจะใช้ชีวิตโดยเคร่งครัดได้อย่างไร? แน่นอน จิตใจของเขาอาจจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องทำให้เสร็จ แต่จิตใจของเขาก็ทำตามไม่สำเร็จ เมื่อคนบาปก้าวขาออกจากโบสถ์ ใช้ชีวิตโดยเคร่งครัด กลายเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น และสัญชาตญาณของเขาก็นำเขาไปสู่การทำบาป
ดังนั้น เราต้องตัดสินใจว่า เราจะใช้ชีวิตตามพระราชบัญญัติ หรือจะได้รับการช่วยให้รอดโดยการเชื่อในบัพติศมาของพระเยซูและพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน โดยการมีความเชื่อในมหาปุโรหิตแห่งอาณาจักรสวรรค์ผู้ทรงเป็นนิรันดร์
จงจำไว้ว่า พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตที่แท้จริงแก่ผู้ที่เชื่อ ขอพวกเราทุกคนจงได้รับการช่วยให้รอดโดยการรู้จักและเชื่อในความรอดที่แท้จริง โดยการรับบัพติศมาของพระเยซู และพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน
ผู้ที่เกิดใหม่ย่อมไม่เกรงกลัวต่อวันสิ้นโลก
เหตุใดผู้ที่เกิดใหม่จึง ไม่เกรงกลัวต่อวันสิ้นโลก?
เพราะความเชื่อของพวกเขาในข่าวประเสริฐของน้ำและ พระวิญญาณ ได้ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความผิดบาป
เมื่อท่านได้เกิดใหม่อย่างแท้จริง ท่านต้องไม่กลัวว่า โลกจะถึงวันอวสาน คริสเตียนมากมายในประเทศเกาหลีอ้างว่า จะถึงวันสิ้นโลกในวันที่ 28 เดือนตุลาคม ค.ศ.1992 พวกเขากล่าวว่ามันจะเป็นวันที่น่ากลัวและวุ่นวายมาก แต่ข้ออ้างทั้งหมดของพวกเขานั้นเป็นเท็จ ผู้ที่เกิดใหม่อย่างแท้จริงใช้ชีวิตโดยเคร่งครัดในการประกาศข่าวประเสริฐจนถึงวาระสุดท้าย เมื่อไรก็ตามที่โลกนี้มาถึงกาลอวสาน ทุกสิ่งที่เราต้องทำคือ ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณออกไป
เมื่อเจ้าบ่าวเสด็จมา เจ้าสาวทั้งหลายที่เกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณแท้จริง จะได้พบพระองค์ด้วยความยินดีอย่างมาก และพูดว่า “โอ ในที่สุด พระองค์ก็เสด็จมา! เนื้อหนังของข้าพระองค์ยังคงไม่สมบูรณ์ แต่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์และทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดพ้นจากความผิดบาปของข้าพระองค์ทั้งหมด ข้าพระองค์จึงไม่มีความผิดบาปในใจของข้าพระองค์แล้ว ขอขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพระองค์!”
พระเยซูทรงเป็นเจ้าบ่าวของคนชอบธรรมทุกคน การแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเจ้าบ่าวรักเจ้าสาว ไม่ใช่วิธีอื่นๆ ผมรู้ว่าบางครั้ง ก็เกิดขึ้นแบบนั้นในโลกนี้ แต่ในสวรรค์นั้นเป็นเจ้าบ่าวที่ตัดสินใจว่าจะจัดงานแต่งงานหรือไม่ เจ้าบ่าวที่เลือกว่าจะแต่งงานบนพื้นฐานของความรักของพระองค์และประทานการช่วยให้รอดโดยไม่เลือกเจ้าสาว นี่คือวิธีการที่การแต่งงานในสวรรค์
เจ้าบ่าวทรงรู้เรื่องเจ้าสาวหมดทุกอย่าง เพราะเจ้าสาวผู้เป็นที่รักของพระองค์เป็นคนบาป พระองค์จึงทรงเมตตาพวกเขา และทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากความผิดบาปทั้งหมด โดยการรับบัพติศมาและหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน
พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเยซูมิได้เสด็จมายังโลกนี้ดังเช่นเชื้อสายของอาโรน พระ องค์มิได้เสด็จมายังโลกนี้เพื่อถวายเครื่องบูชาของโลก มีชาวเลวีหลายคนที่เป็นเชื้อสายของอาโรนเพียงพอที่จะทำงานนี้ได้
ในความเป็นจริง บทบาทสำคัญของการชำระให้บริสุทธิ์ในพันธสัญญาฉบับเก่านั้น มิใช่สิ่งอื่นใดนอกจากพระเยซูนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเครื่องบูชาที่แท้จริงมาถึงโลกนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับเงานั้น? เงาก็ถูกเก็บไว้
เมื่อพระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ พระองค์ไม่ทรงถวายเครื่องบูชาดังเช่นที่อาโรนถวาย พระองค์ถวายตัวพระองค์เองเพื่อมนุษยชาติ โดยการรับบัพติศมาและการหลั่งโลหิตเพื่อการช่วยให้รอดของคนบาป พระองค์ทรงทำให้การช่วยให้รอดบรรลุผลบนไม้กางเขน
ความรอดจะมาถึงอย่างแน่นอนสำหรับ ผู้คนทั้งหลายที่เชื่อในบัพติศมาของพระเยซู และพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขน พระเยซูทรงมิได้ชำระความผิดบาปของเราด้วยวิธีที่ไม่ชัดเจน พระองค์ทรงทำอย่างชัดเจน “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ และทรงช่วยเราให้รอดโดยบัพติศมาของพระองค์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์และการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระองค์
พันธสัญญาฉบับเก่าคือแบบอย่างของพระเยซู
เหตุผลในการกำหนดพระสัญญาขึ้นมา อีกฉบับหนึ่งนั้นคืออะไร?
เพราะพันธสัญญาฉบับแรกนั้นบกพร่อง และไม่มีประโยชน์
พันธสัญญาฉบับเก่า เป็นเงาพันธสัญญาฉบับใหม่ แม้ว่าพระเยซูทรงมิได้ถวายเครื่องบูชาเหมือนมหาปุโรหิตของพันธสัญญาฉบับเก่า แต่พระองค์กลับทรงปกครองระบอบปุโรหิตที่ดีขึ้น เป็นปุโรหิตแห่งสรวงสวรรค์อันเป็นนิรันดร์ เพราะผู้คนในโลกนี้เต็มไปด้วยบาปตั้งแต่ที่เขาเกิดมา พวกเขาจึงเป็นคนบาป และพวกเขาจึงไม่มีทางเป็นคนชอบธรรมได้โดยธรรมบัญญัติของพระเจ้า ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงทำพันธสัญญาขึ้นอีกหนึ่งฉบับ
พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวของพระองค์มายังโลกนี้และร้องขอให้เรากลับไปมีความเชื่อในบัพติศมาของพระองค์ ในพระโลหิตของพระองค์ และในการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ นี่คือพันธสัญญาฉบับที่สองของพระเจ้า พันธสัญญาที่ต้องการให้เราเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ
พระผู้เป็นเจ้าทรงไม่ตรัสถามถึงการทำดีของเราอีกต่อไป พระองค์ไม่ทรงบอกเราถึงวิธีที่จะรอดได้ พระองค์เพียงแค่ขอให้เราเชื่อในความรอดผ่านพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงขอให้เราเชื่อในบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขนทั้งหมด และเราจะต้องกล่าวว่าตกลง
ในพระคัมภีร์ไบเบิล ครอบครัวของยูดาห์นั้นถือว่าเป็นตระกูลสูงศักดิ์ กษัตริย์ทุกพระองค์ของอิสราเอลกำเนิดมาให้ตระกูลของยูดาห์จนถึงกษัตริย์โซโลมอน แม้แต่หลังจากการแบ่งอาณาจักรแล้ว ตระกูลของยูดาห์ยังคงยึดบัลลังค์ของอาณาจักรใต้อยู่จนกระทั่งถูกโค่นไปในปี ค.ศ.586 ดังนั้น ประชาชนของยูดาห์จึงหมายถึงชาวอิสราเอลนั่นเอง ชนเผ่าของพวกเลวีก็เป็นหนึ่งในปุโรหิต แต่ละตระกูลในอิสราเอลนั้นมีบทบาทหน้าที่ของตัวเอง พระเจ้าทรงสัญญาแก่พวกยูดาห์ว่า พระเยซูจะเสด็จมาจากพวกนี้
เหตุใดพระองค์จึงทรงทำพันธสัญญาฉบับนี้ขึ้นกับตระกูลยูดาห์? การทำพันธสัญญานี้ก็เหมือนกับการทำพันธสัญญากับประชาชนทุกคนในโลกนี้ เพราะชาวอิสราเอลนั้นหมายความถึงประชาชนในโลกนี้ พระเยซูทรงทำพันธสัญญาฉบับใหม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นความรอดของมนุษยชาติ โดยการรับบัพติศมาของพระองค์ การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์บนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์
ความผิดบาปของมนุษย์ไม่สามารถชำระออกไปได้โดยการกลับใจใหม่
ความผิดบาปของมนุษย์ได้รับการชำระ ด้วยการกลับใจใหม่ได้หรือไม่?
ไม่ได้
ในเยเรมีย์ 17:1 ได้กล่าวไว้ว่า ความผิดบาปของแต่ละคนได้รับการจารึกไว้สองที่ “บาปของยูดาห์นั้นบันทึกไว้ด้วยปากกาเหล็ก ด้วยปลายเพชรจารึกไว้บนแผ่นแห่งจิตใจของเขา และบนเชิงงอนที่แท่นบูชาของเขาทั้งหลาย”
ความผิดบาปของเราได้รับการจารึกไว้ในใจของเรา นั่นคือวิธีที่เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ก่อนที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะเชื่อในพระเยซู เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบาป เพราะเหตุใดหรือ? เพราะเขาไม่มีพระราชบัญญัติของพระเจ้าในใจของเขา ดังนั้น ครั้งเดียวที่ผู้ใดผู้หนึ่งเชื่อในพระเยซูแล้ว เขาจะรู้ว่าเขาเป็นคนบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า
มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ตระหนักว่าเขาเป็นคนบาป หลังจากที่เขาเชื่อในพระเยซู 10 ปีแล้ว “โอ ที่รัก! ฉันเป็นคนบาป! ฉันคิดว่าฉันรอดแล้วแต่ฉันยังคงเป็นคนบาปอยู่!” การตระหนักได้เกิดขึ้นในวันหนึ่งเมื่อเราได้พบว่าแท้ที่จริงแล้วเราเป็นอะไร พวกเขามีความสุขมากว่าสิบปี แต่ในทันใดนั้นพวกเขาก็ได้เห็นความจริง ท่านรู้ไหมว่าทำไม? การตระหนักนี้ได้เกิดขึ้นเพราะท้ายที่สุดบาปแท้จริงของพวกเขาและการละเมิดทั้งหลายได้ชัดเจนขึ้นผ่านพระราชบัญญัติของพระเจ้า คนเช่นนั้นเชื่อในพระเยซูมาเป็นสิบปีโดยไม่ได้เกิดใหม่
เพราะคนบาปไม่สามารถลบล้างความผิดบาปของเขาออกจากใจได้ เขาจึงยังเป็นคนบาปต่อพระพักตร์พระเจ้าอยู่ คนบางคนใช้เวลาห้าปี และผู้อื่นอาจจะใช้เวลาสิบปี กว่าที่จะรู้ความจริง บางคนมารู้ความจริงหลังจากสามสิบปีผ่านไป คนบางคนห้าสิบปี และบางคนก็ไม่เคยได้รู้ความจริงนี้เลยจนวาระสุดท้าย “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เคยเป็นคนดีมาก่อน ก่อนที่ข้าพระองค์จะมีพระบัญญัติในใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มั่นใจว่า ข้าพระองค์ทำตามพระราชบัญญัติเป็นอย่างดี แต่บัดนี้ ข้าพระองค์รู้แล้วว่า ข้าพระองค์ทำความผิดบาปทุกวัน ดังที่ท่านสาวกเปาโลกล่าวไว้ว่า “เพราะครั้งหนึ่งข้าพเจ้าดำรงชีวิตอยู่โดยปราศจากพระราชบัญญัติ แต่เมื่อมีพระบัญญัติบาปก็กลับมีขึ้นอีกและข้าพเจ้าก็ตาย” (โรม 7:9) ข้าพระองค์เป็นคนบาป แม้ว่าข้าพระองค์จะเชื่อในพระคริสต์ก็ตาม”
นี่คือ ความผิดบาปของท่านเองที่กีดกันท่านจากการใช้ชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้า ความผิดบาปของท่านได้จารึกไว้ในใจของท่าน เพราะพระเจ้าทรงจารึกความผิดบาปของท่านไว้ที่นั่น เมื่อท่านน้อมศีรษะอธิษฐาน ความผิดบาปของท่านจึงปรากฏออกมา “นี่แน่ะ! เราเป็นความผิดบาปที่เจ้าทำ”
“แต่ฉันได้ล้างเจ้าไปเมื่อ 2 ปีก่อนแล้วนี่ ทำไมเจ้าแสดงตัวออกมาอีกเล่า? ทำไมเจ้าไม่ไปซะ?”
“โอ้ อย่าพึ่งอารมณ์เสียสิ! เราถูกจารึกไว้ในใจของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นคนบาปอยู่”
“ไม่! ไม่!”
ดังนั้น เขาจึงทำใจต่อความผิดบาปที่เขาทำเมื่อ 2 ปีที่แล้ว “พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด ข้าพระองค์ยังคงทุกข์ทรมานจากความผิดบาปที่ข้าพระองค์ทำไปก่อนนี้ ข้าพระองค์กลับใจใหม่ต่อความผิดบาปของข้าพระองค์ แต่มันยังอยู่กับข้าพระองค์อีก ขอพระองค์ทรงอภัยให้ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ได้ทำความผิดบาปด้วยเถิด”
แต่ความผิดบาปเหล่านั้นจะไปพร้อมกับการกลับใจใหม่หรือ? เพราะความผิดบาปของมนุษย์นั้นจารึกไว้ในใจของเขา เขาจะรับการลบล้างไม่ได้ ถ้าไม่มีข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ มีเพียงข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณเท่านั้นที่การล้างบาปที่แท้จริงได้ เราจะได้รับการช่วยให้รอดได้โดยความเชื่อข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเยซูของเรา
เราจะเป็นผู้ช่วยให้รอดของท่าน
เราควรตอบรับต่อ พันธสัญญาฉบับใหม่อย่างไร?
เราต้องเชื่อมันในหัวใจของเรา และเผยแพร่ไปทั่วโลก
พระผู้เป็นเจ้าของเราบนสวรรค์ทรงทำพันธสัญญาฉบับใหม่เรา “เราจะเป็นผู้ช่วยให้รอดของท่าน เราจะทำให้ท่านหลุดพ้นจากความผิดบาปทั้งหมดของโลกโดยน้ำและพระโลหิตโดยสมบูรณ์ เราจะให้พรแก่ทุกคนที่เชื่อเราอย่างแน่นอน”
ท่านเชื่อในพันธสัญญาฉบับใหม่กับพระเจ้านี้หรือไม่? เราจะได้รับการช่วยให้รอดจากความผิดบาปของเราทั้งหมดและเกิดใหม่ได้เมื่อเราเชื่อความจริงของพันธสัญญาของพระองค์ และความรอดของพระองค์โดยน้ำและพระโลหิต
เราไม่ไว้ใจหมอ ถ้าหมอไม่ได้ตรวจเราอย่างถูกต้อง ขั้นแรก หมอต้องตรวจคนไข้ของเขาให้ถูกต้องก่อนแล้วก็สั่งยาที่เหมาะสมให้ มียาทุกชนิดเลยแต่หมอจะต้องรู้แน่นอนว่าต้องใช้ยาตัวไหน ครั้นที่หมอตรวจคนไข้ของเขาหรือเธออย่างถูกต้องแล้ว มันก็จะมียาหลายชนิดที่จัดให้รักษาคนไข้ แต่ถ้าตรวจผิด ยาดีๆ ทั้งหลายเหล่านั้นก็ทำให้คนไข้อาการแย่ลงได้
เช่นเดียวกัน เมื่อท่านเชื่อในพระเยซู ท่านต้องตรวจสภาพจิตวิญญาณของท่านบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าเสียก่อน เมื่อท่านตรวจสอบจิตวิญญาณของท่านด้วยพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ท่านจะเห็นได้อย่างถ่องแท้ว่า สภาวะของจิตวิญญาณของท่านเป็นอย่างไร หมอแห่งจิตวิญญาณจะรักษาคนไข้ทุกคนของเขาได้โดยไม่มีข้อยกเว้น เขาก็จะได้เกิดใหม่กันทุกคน
ถ้าท่านพูดว่า “เราไม่รู้ว่าเราได้รับการไถ่บาปหรือยัง” นั่นย่อมหมายความว่า ท่านยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดเลย ถ้าศิษยาภิบาลเป็นสาวกของพระเยซูจริงๆเขาต้องแก้ปัญหาของบาปของผู้ติดตามของเขาได้ แล้วเขาก็จะแก้ปัญหาแห่งความเชื่อของพวกเขาได้ และนำพวกเขาไปทางจิตวิญญาณ ท่านต้องเห็นสภาวะของจิตวิญญาณที่แน่นอนของผู้ติดตามของท่านได้
พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ เพื่อทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกไว้ พระองค์เสด็จมาและทรงรับบัพติศมาและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อพระองค์ทรงชำระล้างความผิดบาปทั้งหมดแล้ว ท่านได้ขจัดความผิดบาปของท่านหรือไม่? พระวจนะแห่งน้ำและพระวิญญาณขจัดความผิดบาปของผู้เชื่อทุกคน
ข่าวประเสริฐเปรียบเสมือนระเบิดที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกระจายออกจากตึกสูง ๆ ไปถึงภูเขา งานของพระเยซูนั้นแน่นอน พระองค์ทรงขจัดความผิดบาปของผู้ที่วางใจในพระองค์ ด้วยข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณของพระองค์ ขอพวกเราจงมองดูข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลกัน
ข่าวประเสริฐของการวางมือในพันธสัญญาฉบับเก่า
วัตถุประสงค์ของการวางมือ ในพันธสัญญาฉบับเก่า คืออะไร?
วัตถุประสงค์ของการวางมือคือ เพื่อผ่านความผิดบาปไปยังเครื่องบูชาไถ่บาป
ขอพวกเราจงมาค้นหาความจริงของข่าวประเสริฐของการไถ่บาปในเลวีนิติ 1:3-4 กัน “ถ้าเครื่องบูชาของเขาเป็นเครื่องเผาบูชามาจากฝูงวัว ก็ให้เขานำสัตว์ตัวผู้ที่ไม่มีตำหนิ ให้เขานำเครื่องบูชานั้นมาที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุมด้วยความเต็มใจต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ ให้เขาเอามือวางบนหัวสัตว์ซึ่งเป็นเครื่องเผาบูชานั้น และเครื่องเผาบูชานั้นจะเป็นที่ทรงโปรดปรานเพื่อทำการลบมลทินของผู้นั้น”
ข้อความนี้บอกเราว่า เครื่องเผาบูชาควรนำมาถวายที่ประตูของพลับพลานัดพบต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า โดยวางมือลงบนหัวของเครื่องบูชา และเครื่องบูชานั้น ควรเป็นสัตว์มีชีวิตที่ไม่มีตำหนิ
ในยุคของพันธสัญญาฉบับเก่า คนบาปจะวางมือของเขาบนเครื่องบูชา เพื่อทำการล้างความผิดบาปในแต่ละวันของเขา เขาฆ่าเครื่องบูชาไถ่บาปต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า และปุโรหิตจะเอาเลือดมาเจิมที่เชิงงอนของแท่นเครื่องเผาบูชา แล้วเขาจะเอาเลือดที่เหลือมาเทที่ฐานของแท่นบูชา และคนบาปก็ได้รับการอภัยต่อความผิดบาปประจำวัน
สำหรับความผิดบาปของปี ได้กล่าวไว้ในบทเลวีนิติ 16:6-10 ว่า “และอาโรนจะถวายวัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของตนเอง และจะทำการลบมลทินบาปตนเองและครอบครัวของตน แล้วเขาจะนำแพะสองตัวนั้นไปถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม และอาโรนจะจับสลากแพะสองตัวนั้น สลากหนึ่งตกเป็นของพระเยโฮวาห์ และอีกสลากหนึ่งเพื่อแพะรับบาป แพะตัวที่สลากตกเป็นของพระเยโฮวาห์นั้น อาโรนจะนำมาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แต่แพะอีกตัวหนึ่งซึ่งสลากตกเพื่อเป็นแพะรับบาปนั้น จะนำถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์เป็นสัตว์เป็น เพื่อทำการลบมลทินบาปให้ตกที่มัน แล้วจะได้เอามันไปปล่อยเสียในถิ่นทุรกันดารเป็นแพะรับบาป” ดังได้อธิบายไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล แพะรับบาป หมายถึง “นำออกมา” ดังนั้น ความผิดบาปประจำปีจึงถูกลบล้างในวันที่สิบเดือนที่เจ็ด
ในบทเลวีนิติ 16:29-30 กล่าวไว้ว่า “ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลายว่า ในวันที่สิบเดือนที่เจ็ด เจ้าต้องถ่อมใจลง ไม่กระทำการงานสิ่งใด ทั้งตัวชาวเมืองเองหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า เพราะว่าในวันนั้นปุโรหิตจะกระทำการลบมลทินบาปของเจ้า และชำระเจ้า เจ้าจะสะอาดต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ พ้นจากบาปทั้งสิ้นของเจ้า”
นี่คือวันที่ชาวอิสราเอลลบล้างความผิดบาปประจำปี สิ่งนี้เสร็จสิ้นอย่างไร? ขั้นแรก มหาปุโรหิตอาโรนต้องเป็นตัวแทนที่ทำการบูชา ใครเป็นตัวแทนของชาวอิสราเอล? อาโรน พระเจ้าทรงแต่งตั้งอาโรน และเชื้อสายของเขาเป็นมหาปุโรหิต
อาโรนจะถวายวัวเพื่อล้างความผิดบาปของตนเองและครอบครัวของตน เขาจะฆ่าวัวและประพรมเลือดวัวไปที่พระที่นั่งกรุณา และที่หน้าพระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้ง เขาต้องล้างบาปของตนเองและครอบครัวของตนก่อน
การลบบาป หมายถึง การผ่านความผิดบาปของบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปยังเครื่องบูชาไถ่บาป และปล่อยเครื่องบูชาไถ่บาปให้เสียชีวิตในที่ใดที่หนึ่ง คนบาปเองควรเป็นผู้ที่เสียชีวิต แต่เขาลบล้างความผิดบาปของเขาได้โดยการผ่านความผิดบาปไปยังเครื่องบูชา และให้ตายในที่ของเขา
หลังจากที่ความผิดบาปของเขาและของครอบครัวของเขาถูกลบล้างไป เขาจะถวายแพะหนึ่งตัวต่อพระพักตร์พระเจ้า ขณะที่ปล่อยแพะอีกหนึ่งตัวเข้าไปในถิ่นทุรกันดารให้เป็นแพะรับบาปแทนประชาชนชาวอิสราเอล
แพะหนึ่งตัวจะนำมาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป อาโรนวางมือของเขาบนหัวของเครื่องบูชาไถ่บาป และสารภาพว่า “โอ พระเจ้า ชาวอิสราเอลของท่านฝ่าฝืนพระบัญญัติ 10 ประการ และพระธรรมบัญญัติทั้ง 613 บทของพระองค์ ชาวอิสราเอลกำลังเป็นคนบาป บัดนี้ ข้าพระองค์จะวางมือของข้าพระองค์บนแพะตัวนี้ เพื่อย้ายความผิดบาปประจำปีของเราทั้งหมด”
เขาจะฆ่าแพะและเข้าไปในที่บริสุทธิ์ที่สุดภายในพลับพลาพร้อมกับเลือดของมัน แล้วเขาก็จะพรมเลือดบางส่วนไปที่พระที่นั่งกรุณาและที่หน้าพระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้ง
ภายในที่บริสุทธที่สุดนั้นเป็นที่ตั้งของหีบพันธสัญญาอยู่ ฝาของหีบเรียกว่าพระที่นั่งกรุณา และในหีบจะมีแผ่นศิลาพันธสัญญา, โถทองคำใส่มานาและไม้เท้าของอาโรนที่ออกช่อ
ไม้เท้าของอาโรนหมายความถึงการเป็นขึ้นมาจากความตาย แผ่นศิลาพันธสัญญาหมายถึงความยุติธรรมของพระองค์ และโถทองคำใส่มานาหมายถึงพระวจนะแห่งชีวิตของพระองค์
มีฝาปิดหีบพันธสัญญา เลือดก็จะถูกพรมต่อหน้าพระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้ง ตามที่มีกระดิ่งทองเย็บติดกับเสื้อคลุมของมหาปุโรหิต เมื่อเขาพรมเลือดกระดิ่งก็จะสั่น
ในบทเลวีนิติ 16:14-15 กล่าวไว้ว่า “เขาจะเอาเลือดวัวมาประพรมด้วยนิ้วมือของตนบนพระที่นั่งกรุณาข้างตะวันออก แล้วจะประพรมเลือดที่หน้าพระที่นั่งกรุณาเจ็ดครั้งด้วยนิ้วของเขา แล้วอาโรนจะฆ่าแพะอันเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับประชาชน และนำเลือดแพะเข้าไปภายในม่าน และเอาเลือดแพะไปกระทำเช่นเดียวกับกระทำเลือดวัว คือประพรมบนพระที่นั่งกรุณาและที่ข้างหน้าพระที่นั่งกรุณานั้น”
กระดิ่งจะสั่นทุกครั้งที่เขาพรมเลือดแพะ และชาวอิสราเอลที่นั่งอยู่ด้านนอกก็จะได้ยินเสียงกระดิ่ง เนื่องจากการลบความผิดบาปของพวกเขาต้องทำโดยมหาปุโรหิต เสียงของกระดิ่ง หมายความว่า ความผิดบาปของเขาได้รับการอภัยแล้ว เสียงนี้จึงเป็นเสียงแห่งการสรรเสริญแก่ชาวอิสราเอลทุกคน
เมื่อกระดิ่งสั่นเจ็ดครั้งเขาจึงพูดว่า “ตอนนี้ เรารู้สึกโล่งใจมาก เรากังวลกับความผิดบาปตลอดปี แล้วตอนนี้ เรารู้สึกหลุดพ้นแล้ว” และชาวเมืองจึงกลับไปใช้ชีวิตของเขา รู้สึกหลุดพ้นจากความผิดบาป เสียงของกระดิ่งในขณะนั้นจึงเปรียบเสมือนข่าวดีแห่งการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ
เมื่อเราได้ฟังข่าวประเสริฐของการไถ่บาปโดยน้ำและพระวิญญาณและเชื่อมันด้วยใจของเราและยอมรับมันด้วยปากของเรา นี่คือสิ่งที่เป็นข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ เมื่อกระดิ่งสั่นเจ็ดครั้ง ความผิดบาปประจำปีของชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ได้รับการชำระล้าง ความผิดบาปของเขาจึงได้รับการชำระล้างต่อพระพักตร์พระเจ้า
หลังจากการถวายแพะหนึ่งตัวสำหรับชาวอิสราเอล มหาปุโรหิตจะนำแพะอีกตัวหนึ่งมา และพาไปหาประชาชนที่คอยอยู่ด้านนอกพลับพลา ขณะที่พวกเขามองดูอยู่ มหาปุโรหิตอาโรนจะวางมือของเขาบนหัวของแพะตัวนั้น
ในบทเลวีนิติ 16:21-22 กล่าวไว้ว่า “และอาโรนจะเอามือทั้งสองวางบนหัวแพะที่มีชีวิตนั้น และกล่าวคำสารภาพบรรดาความชั่วช้าของคนอิสราเอล และการละเมิดทั้งหมด และบาปทั้งสิ้นให้ตกลงบนหัวแพะนั้น และให้คนที่เตรียมมือไว้พร้อมแล้วมานำแพะไปปล่อยเสียในถิ่นทุรกันดาร แพะนั้นจะแบกความชั่วช้าทั้งหมดไปยังที่เปลี่ยว แล้วเขาก็ปล่อยให้แพะนั้นเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร”
มหาปุโรหิตอาโรนวางมือของเขา ลงบนหัวของแพะอีกตัวหนึ่ง (แพะรับบาป) และสารภาพความผิดบาปประจำปีทั้งหมดของชาวอิสราเอลต่อพระพักตร์พระเจ้า “โอ พระองค์เจ้า ชาวอิสราเอลได้ทำความผิดบาปต่อพระพักตร์พระองค์ เราละเมิดพระบัญญัติ 10 ประการ และพระธรรมบัญญัติของพระองค์ทั้ง 613 บท โอ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ขอย้ายความผิดบาปประจำปีทั้งหมดของชาวอิสราเอลไปยังหัวของแพะตัวนี้”
ตามเยเรมีย์ 17:1 ความผิดบาปนั้นบันทึกไว้สองแห่ง แห่งหนึ่งคือหนังสือแห่งงานและอีกแห่งคือ บนแผ่นแห่งจิตใจของพวกเขา
ดังนั้น ถ้าประชาชนต้องล้างความผิดบาปของเขา ความผิดบาปของเขาต้องได้รับการลบล้างออกจากหนังสือแห่งงานและแผ่นหินแห่งจิตใจของเขา ในวันลบมลทินบาป แพะตัวหนึ่งนั้นมีไว้เพื่อบาปที่จารึกไว้ที่หนังสือของการพิพากษาและอีกตัวหนึ่งเพื่อบาปที่จารึกไว้บนแผ่นหินแห่งจิตใจของพวกเขา
พระเจ้าทรงแสดงสิ่งใดแก่ชาวอิสราเอลผ่าน ระบบการสังเวยบูชา ในพันธสัญญาฉบับเก่า?
แสดงว่า ผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมา และจะลบความผิดบาปของพวกเขา ออกไปเพียงครั้งเดียวและเพื่อทั้งหมดด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด
โดยการวางมือบนหัวของแพะนั้น มหาปุโรหิตได้แสดงให้ประชาชนเห็นว่า ความผิดบาปประจำปีของเขาได้รับการผ่านไปสู่แพะ เมื่อความผิดบาปได้ผ่านไปสู่หัวของแพะแล้ว มันก็จะถูกนำไปปล่อยยังถิ่นธุรกันดารโดยผู้ที่ถูกเลือกเอาไว้แล้ว
ปาเลสไตน์เป็นดินแดนแห่งทะเลทราย แพะที่รับเอาความผิดบาปประจำปีทั้งหมดของชาวอิสราเอลไว้ จะถูกนำไปยังทะเลทราย ที่ซึ่งไม่มีทั้งน้ำและหญ้า โดยคนที่เตรียมไว้แล้วสำหรับงานนี้ ประชาชนจะยืนดูแพะรับบาปเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
พวกเขาพูดกับตัวเขาเองว่า “เราสมควรต้องตาย แต่แพะตายแทนความผิดบาปของเรา ค่าจ้างแห่งบาปคือความตาย แต่แพะตายแทนเรา ขอบใจจริงๆ เจ้าแพะเอ๋ย การตายของเจ้าหมายความว่า เราจะใช้ชีวิตอยู่ได้” แพะจะถูกนำไปปล่อยในทะเลทราย และชาวอิสราเอลจะได้รับการอภัยต่อความผิดบาปประจำปี
เมื่อความผิดบาปในใจของท่านได้ผ่านไปสู่เครื่องบูชาไถ่บาป ท่านก็ได้รับการชำระล้าง มันเป็นเรื่องง่ายๆเช่นนั้น ความเป็นจริงมักจะง่ายเสมอ แค่เพียงเราเข้าใจมันเท่านั้นเอง
แพะหายลับเข้าไปในเส้นขอบฟ้า คนผู้นั้นจึงกลับมาเพียงลำพัง หลังจากที่ปล่อยมันไปแล้ว ความผิดบาปประจำปีทั้งหมดของชาวอิสราเอลก็หมดไป แพะก็จะเร่ร่อนไปในทะเลทรายโดยไม่มีน้ำหรือหญ้า และมันก็จะตายตามค่าแห่งความผิดบาปของชาวอิสราเอลในหนึ่งปี
ค่าจ้างแห่งบาปคือความตาย และความยุติธรรมของพระเจ้าจึงบรรลุผล พระเจ้าทรงให้บูชาแพะเพื่อว่า ชาวอิสราเอลจะมีชีวิตต่อไป ความชั่วร้ายทั้งหมดของชาวอิสราเอลในช่วงปีจึงได้รับการชำระล้างให้สะอาดแล้ว
เพราะความผิดบาปประจำวันและประจำปีได้รับการอภัยเช่นนั้นในพันธสัญญาฉบับเก่า นี่คือพันธสัญญาของพระเจ้าที่ความผิดบาปของเราจะได้รับการอภัยในลักษณะที่คล้ายคลึงกันเพียงครั้งเดียวและเพื่อทั้งหมด มันเป็นพันธสัญญาของพระองค์ ที่พระองค์ประทานพระเมสสิยาห์ให้แก่เรา และปลดปล่อยเราจากความผิดบาปตลอดชีวิตของเราทั้งหมด พันธสัญญาได้กระทำโดยบัพติศมาของพระเยซู
การเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณในพันธสัญญาฉบับใหม่
เหตุใดพระเยซูจึงทรงรับบัพติศมา จากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา?
เพื่อทำตามความชอบธรรมให้สมบูรณ์ทุกประการ ด้วยการรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกนี้ไว้ การรับบัพติศมาของพระเยซู ในพันธสัญญาฉบับใหม่ คือการวางมือจริงๆในพันธสัญญาฉบับเก่า
เราลองมาอ่านมัทธิว 3:13-15 กัน “แล้วพระเยซูเสด็จจากแคว้นกาลิลีมาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน เพื่อจะรับบัพติศมาจากท่าน แต่ยอห์นทูลห้ามพระองค์ว่า ‘ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์?’ และพระเยซูตรัสตอบยอห์นว่า ‘บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ’ แล้วท่านก็ยอมทำตามพระองค์”
พระเยซูเสด็จไปยังแม่น้ำจอร์แดน และทรงรับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา และจากการทำเช่นนี้ พระองค์ทรงทำตามความชอบธรรม พระองค์ทรงรับบัพติศมาโดยยอห์น ยอห์นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ที่เกิดจากหญิงมานั้น
มัทธิว 11:11-12 บอกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้”
ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาได้รับเลือกจากพระเจ้าให้เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ และถูกส่งมาก่อนพระคริสต์ 6 เดือน เขาเป็นเชื้อสายของอาโรน และเป็นมหาปุโรหิตคนสุดท้าย
ยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวกับพระเยซู ขณะที่พระองค์เสด็จมาหาเขาว่า “ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์?”
“บัดนี้จงยอมเถิดเพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ” วัตถุประสงค์ของพระองค์ คือ เพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติจากความผิดบาป เพื่อว่า พวกเขาจะได้เป็นบุตรของพระเจ้า พระเยซูตรัสแก่ยอห์นว่า “เราต้องทำให้ข่าวประเสริฐของการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณสมบูรณ์ บัดนี้ ท่านจงให้เรารับบัพติศมาเถิด”
ยอห์นจึงให้บัพติศมาแก่พระเยซู มันสมควรแล้วที่พระเยซูทรงรับบัพติศมา เพื่อรับเอาความผิดบาปของโลกทั้งหมดไป เพราะพระองค์ทรงรับบัพติศมาด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด เราจึงได้รับการช่วยให้รอดจากความผิดบาปของเราทั้งหมดโดยถูกต้อง พระเยซูทรงรับบัพติศมาเพื่อว่าความผิดบาปของเราทั้งหมดจะถูกย้ายไปสู่พระองค์
พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ และทรงรับบัพติศมา เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 30 ปี นี่คือพันธกิจครั้งแรกของพระองค์ พระเยซูทรงทำตามความชอบธรรมทุกประการโดยทรงขจัดความผิดบาปของโลกทั้งหมด จึงทำให้ทุกคนเคารพพระองค์
พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้ และทรงรับบัพติศมาด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด เพื่อปลดปล่อยเราจากความผิดบาปของเราทั้งหมด “เพราะสมควร” ที่จะกระทำตามความชอบธรรมทุกประการ
พระเจ้าตรัสว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (มัทธิว 3:17) พระเยซู คริสต์ทรงทราบว่า พระองค์จะทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของมนุษยชาติ และจะต้องหลั่งพระโลหิตจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และพระองค์ทรงเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาของพระองค์ ทรงตรัสว่า “อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39) น้ำพระทัยของพระบิดา คือ เพื่อทรงชำระล้างความผิดบาปทั้งหมดของมนุษยชาติ แล้วประทานความรอดแก่ประชาชนทั่วโลก
ดังนั้น พระเยซู พระบุตรผู้ว่านอนสอนง่าย ทรงเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดา และทรงรับบัพติศมาจากยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมา
ในยอห์น 1:29 กล่าวว่า “วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า ‘จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย!’” พระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดไว้ และทรงหลั่งโลหิตบนไม้กางเขนที่กลโกธา “จงดูพระเมษโปดก ของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย!” ยอห์น ผู้ให้บัพติศมาเป็นพยาน
ท่านยังมีความผิดบาปอยู่หรือไม่? ท่านเป็นคนชอบธรรมหรือเป็นคนบาป? ความจริงก็คือ พระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปของโลกไว้ และทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อเรา
ความผิดบาปของคนบาปทุกคนใน โลกนี้ได้ผ่านไปสู่พระเยซูเมื่อไร?
พระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปของเราไปเมื่อพระองค์ รับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาณแม่น้ำจอร์แดน
หลังจากที่เราเกิดมาในโลกนี้ เราทำบาปกันแม้แต่ในช่วงอายุระหว่าง 1-10 ปี พระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปเหล่านี้ไว้ เราก็ทำบาปอีกเช่นกันในช่วงอายุระหว่าง 11-20 ปี ความผิดบาปที่เราทำในใจของเรา และจากการกระทำของเรา พระองค์ก็ทรงรับไว้ทั้งหมด
เราก็ทำบาปกันอีกในช่วงอายุระหว่าง 21-45 ปี พระองค์ก็ทรงรับมันไว้ทั้งหมดเช่นกัน พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกไว้ และทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน เราทำบาปกันตั้งแต่วันที่เราเกิดจนถึงวันที่เราตาย แต่พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปนั้นไว้ทั้งหมด
“จงดูพระเมษโปดก ของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย!” ความผิดบาปทั้งหมด ตั้งแต่ความผิดบาปของมนุษย์คนแรก คือ อาดัม ไปจนถึงความผิดบาปของมนุษย์คนสุดท้ายที่เกิดในโลกนี้ – เมื่อไรก็ตามที่เกิดขึ้น – พระองค์ทรงรับไว้ทั้งหมด พระองค์ไม่ได้ทรงเก็บและเลือกเอาว่าจะทรงรับเอาความผิดบาปของผู้ใด
พระองค์มิได้ทรงตัดสินพระทัยที่จะรักเพียงพวกเราบางคนเท่านั้น พระองค์เสด็จมาในรูปของเนื้อหนัง และทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกไว้ และทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนพระองค์ทรงรับการพิพากษาเพื่อเราทุกคน และทรงขจัดความผิดบาปของโลกนี้ตลอดไป
ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้นจากความรอดของพระองค์ “ความผิดบาปทั้งหมดของโลก” รวมไปถึงความผิดบาปของเราทั้งหมด พระเยซูทรงรับเอาไว้ทั้งหมด
พระองค์ทรงชำระความผิดบาปทั้งหมดของโลก ด้วยการรับบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปนั้นไว้ทั้งหมดโดยการรับบัพติศมาของพระองค์ และทรงรับการพิพากษาเพื่อความผิดบาปของเราบนไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) หมายความว่า การช่วยให้รอดของมนุษยชาตินั้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว
เหตุใด พระเยซูทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน? เพราะชีวิตของเนื้อหนังนั้นอยู่ในโลหิต และโลหิตเป็นสิ่งที่ทำการลบมลทินบาปเพื่อชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง (เลวีนิติ 17:11) เหตุใด พระเยซูจึงทรงต้องรับบัพติศมา? เพราะพระองค์ทรงประสงค์จะรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกไว้
“หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่า ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จจึงตรัสว่า ‘เรากระหายน้ำ!’” (ยอห์น 19:28) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ทรงรู้ว่าพันธสัญญาของพระเจ้าทุกฉบับในพันธสัญญาฉบับเก่าได้บรรลุผล ด้วยการรับบัพติศมาของพระองค์ที่แม่น้ำจอร์แดน และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน
พระเยซูทรงรู้ว่า การไถ่บาปสมบูรณ์ได้โดยพระองค์ และตรัสว่า “สำเร็จแล้ว!” พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ทรงทำให้เราบริสุทธิ์ ทรงฟื้นคืนพระชนม์หลังจากนั้นสามวัน และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ที่ซึ่งพระองค์ทรงประทับอยู่ทางขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในขณะนี้
การชำระความผิดบาปทั้งหมดโดยการรับบัพติศมาของพระเยซู และการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระองค์คือ พระพรของข่าวประเสริฐของการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ จงเชื่อข่าวประเสริฐนี้ แล้วท่านจะได้รับการอภัยต่อความผิดบาปของท่านทั้งหมด
เราจะได้รับการชำระความผิดบาปของเรา โดยการอธิษฐานกลับใจใหม่ทุกวันไม่ได้ การไถ่บาปจะเป็นที่ยอมรับเพียงครั้งเดียว และเพื่อทั้งหมด โดยการรับบัพติศมาของพระเยซู และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน “ดังนั้นเมื่อมีการลบบาปแล้วก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปอีกต่อไป” (ฮีบรู 10:18)
ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องทำ คือ เชื่อในการไถ่บาปโดยการรับบัพติศมาของพระเยซู และการถูกตรึงกางเขนของพระองค์ จงเชื่อ แล้วท่านจะได้รับการช่วยให้รอด
โรม 5:1-2 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ และเราชื่นชมยินดีในความหวังใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า”
ไม่มีวิธีอื่นใดที่เหมาะสมนอกจากต้องเชื่อในพระพรของข่าวประเสริฐของการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ
วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติของพระเจ้า
เราจะได้รับชำระให้เป็นผู้บริสุทธิ์ได้ โดยพระราชบัญญัติหรือไม่?
ไม่ได้ พระราชบัญญัติจะทำให้เรารู้จัก ความผิดบาปของเราได้เท่านั้น
ในฮีบรู 10:9 ได้กล่าวไว้ว่า “แล้วพระองค์จึงตรัสว่า ‘ดูเถิด ข้าพระองค์มาแล้ว โอ พระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์’ พระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสีย เพื่อจะทรงตั้งระบบใหม่” เราจะบริสุทธิ์โดยพระราชบัญญัติไม่ได้ พระราชบัญญัติจะทำให้เราเป็นเพียงคนบาปเท่านั้น พระเจ้ามิได้ทรงหมายความให้เราเชื่อฟังพระราชบัญญัติ
โรม 3:20 บอกว่า “เพราะว่าโดยพระราชบัญญัตินั้นเราจึงรู้จักบาปได้” พระเจ้าทรงประทานพระราชบัญญัติให้แก่ชาวอิสราเอลโดยโมเสส หลังจากที่ผ่านไป 430 ปีแล้ว ตั้งแต่ที่อับราฮัมได้รับพันธสัญญา พระองค์ทรงประทานพระราชบัญญัติให้แก่พวกเขา เพื่อว่าพวกเขาอาจจะรู้ว่าการทำความผิดบาปต่อพระพักตร์พระเจ้า หมายความถึงสิ่งใด ถ้าขาดพระราชบัญญัติแห่งพระเจ้าไป มนุษยชาติก็จะไม่รู้จักบาป พระเจ้าประทานพระราชบัญญัติของพระองค์ให้แก่เราเพื่อว่า เราอาจจะเข้าใจบาปได้
ดังนั้น วัตถุประสงค์เดียวของพระราชบัญญัติ คือ ทำให้เรารู้ว่า เราเป็นคนบาปกันทุกคนต่อพระพักตร์พระเจ้า จากความรู้นี้ เราจึงต้องกลับไปหาพระเยซู โดยการเชื่อในพระพรของข่าวประเสริฐเรื่องการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ นี่คือ วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา
พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
เราต้องทำอะไรต่อพระพักตร์พระเจ้า?
เราต้องเชื่อในการไถ่บาปของพระเจ้า ผ่านพระเยซู
“’ดูเถิด ข้าพระองค์มาแล้ว โอ พระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์’ พระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิมนั้นเสีย เพื่อจะทรงตั้งระบบ” (ฮีบรู 10:9) เพราะเราไม่สามารถบริสุทธิ์โดยพระราชบัญญัติ พระเจ้ามิได้ทรงปลดปล่อยเราด้วยพระราชบัญญัติของพระองค์ แต่ด้วยการไถ่บาปอันสมบูรณ์ของพระองค์ พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดด้วยความรัก และความยุติธรรมของพระองค์
“โดยน้ำพระทัยนั้นเองที่เราทั้งหลายได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ฝ่ายปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติอยู่ทุกวันๆและนำเอาเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเนืองๆ เครื่องบูชานั้นจะยกเอาความบาปไปเสียไม่ได้เลย ฝ่ายพระองค์นี้ ครั้นทรงถวายเครื่องบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์ ก็เสด็จประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” (ฮีบรู 10:10-12)
พระองค์ประทับอยู่ทางขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะพันธกิจแห่งการไถ่บาปของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว และไม่มีสิ่งใดให้พระองค์ทรงทำอีกต่อไป พระองค์จะไม่ต้องรับบัพติศมา หรือต้องเสียสละพระองค์อีกครั้งเพื่อช่วยเราให้รอดอีกแล้ว
บัดนี้ เมื่อความผิดบาปของโลกทั้งหมดได้รับการชำระแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ต้องทำคือ จัดเตรียมชีวิตนิรันดร์ให้แก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ บัดนี้ พระองค์ทรงประทับตราคนทั้งหลายที่เชื่อในความรอดของน้ำและพระวิญญาณด้วยพระวิญญาณแล้ว
พระเยซูเสด็จลงมายังโลกนี้ และทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของโลกไป และทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ดังนั้นจึงเสร็จสิ้นพันธกิจของพระองค์ ตอนนี้พันธกิจของพระผู้เป็นเจ้าสำเร็จลงแล้ว พระองค์ทรงประทับอยู่เบื้องพระหัตว์ขวาของพระเจ้า
เราต้องเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากความผิดบาปตลอดไป พระองค์ทรงทำให้เราสมบูรณ์ตลอดกาลโดยบัพติศมาและพระโลหิตของพระองค์
คนทั้งหลายที่เป็นศัตรูของพระเจ้า
ใครคือศัตรูของพระเจ้า?
คนทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซู แต่มีความผิดบาปในใจของพวกเขาอยู่
ในบทฮีบรู 10:12-13 พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ฝ่ายพระองค์นี้ ครั้นทรงถวายเครื่องบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์ ก็เสด็จประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ตั้งแต่นี้ไปพระองค์คอยอยู่จนถึงบรรดาศัตรูของพระองค์จะถูกปราบลงเป็นที่รองพระบาทของพระองค์ เพราะว่าโดยการทรงถวายบูชาหนเดียว พระองค์ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ถูกชำระแล้วถึงที่สำเร็จเป็นนิตย์” พระองค์ตรัสว่า พระองค์จะทรงกระทำการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่จะตัดสินชะตาของพวกเขา
ศัตรูของพระองค์ยังคงพูดว่า “พระเจ้า ได้โปรดยกโทษบาปให้ข้าพระองค์ด้วย” ซาตานและผู้ติดตามของเขาไม่เชื่อในข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณ และยังคงร้องขอการยกโทษของพระองค์อยู่
พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาพวกเขาในตอนนี้ แต่ในวันที่พระเยซูเสด็จมาเป็นครั้งที่สอง เขาจะได้รับการพิพากษาและตกนรกตลอดกาล พระเจ้าทรงอดทนรอเขาจนกระทั่งวันนั้นที่หวังว่า เขาจะกลับใจใหม่และเป็นผู้ชอบธรรมโดยการไถ่บาป
พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเยซู ทรงรับเอาความผิดบาปของเราทั้งหมดไป และสิ้นพระชนม์เพื่อเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ ในวันใดวันหนึ่งพระเยซูจะทรงปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่สอง เพื่อทรงปลดปล่อยทุกคนที่เชื่อในพระองค์ “โอ ขอพระองค์เสด็จมาหาเราในบัดนี้ด้วยเถิด พระองค์เจ้าข้า” พระองค์จะเสด็จมาครั้งที่สอง เพื่อทรงรับเอาผู้ที่ไร้มลทินบาปไปใช้ชีวิตกับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์ชั่วนิรันดร์
คนทั้งหลายที่ยืนยันว่า เขาเป็นคนบาป เมื่อพระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา ก็จะพบว่าไม่มีที่ว่างในสวรรค์ ในวันสุดท้าย พวกเขาจะได้รับการพิพากษาและถูกโยนเข้าไปในไฟนรก การลงโทษนี้รอคอยผู้ที่ปฏิเสธที่จะเชื่อในการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ
พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเยซูทรงเห็นว่า ผู้ที่เชื่อในความเท็จนั้นเป็นศัตรูของพระองค์ นั่นคือ เหตุผลว่าเหตุใดเราจึงต้องต่อสู้กับความเท็จนี้ นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใด เราจึงต้องเชื่อในพระพรของข่าวประเสริฐของการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ
เราต้องเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ
ตอนนี้ ยังจำเป็นอยู่ไหมที่เราจะต้องไถ่บาปของเรา ทั้งๆที่หนี้(บาป)ของเราทั้งหมดได้จ่ายเต็มจำนวนแล้ว?
ไม่ ไม่เลย
ฮีบรู 10:15-16 กล่าวว่า “และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพยานให้แก่เราด้วย เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับเขาทั้งหลายภายหลังสมัยนั้น’ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ‘เราจะบรรจุราชบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย และจะจารึกมันไว้ที่ในดวงใจของเขาทั้งหลาย’”
หลังจากที่พระองค์ทรงลบความผิดบาปของเราทั้งหมดแล้ว พระองค์ตรัสว่า “นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับเขาทั้งหลายภายหลังสมัยนั้น” พันธสัญญานี้คืออะไร? “เราจะบรรจุราชบัญญัติของเราไว้ในใจของเขาทั้งหลาย และจะจารึกมันไว้ในดวงใจของเขาทั้งหลาย” เราต้องพยายามนำทางชีวิตบัญญัตินิยมไปตามพระราชบัญญัติของพระองค์ก่อน แต่เราจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดอย่างแท้จริงโดยพระราชบัญญัติ
ต่อมา เราจะรู้ว่า พระเยซูทรงช่วยผู้ที่เชื่อในพระพรของข่าวประเสริฐของการเกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณของพระองค์แล้ว ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซูจะได้รับการไถ่บาป
พระเยซูทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของความรอด “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) พระเยซูเสด็จมายังโลกนี้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เพราะเราไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยงานของเรา พระเยซูทรงช่วยเราให้รอดและทรงจารึกไว้บนแผ่นแห่งจิตใจของเราว่า พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดด้วยกฎของความรักและความรอดของพระองค์
“’และจะไม่จดจำบาปและความชั่วช้าของเขาอีกต่อไป’ ดังนั้นเมื่อมีการลบบาปแล้วก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปอีกต่อไป” (ฮีบรู 10:17–18)
ขณะนี้ พระองค์ทรงจะไม่จดจำความชั่วช้าของเราอีกต่อไปแล้ว ขณะนี้ที่พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดไว้ เราผู้เชื่อก็ไม่มีความผิดบาปอีกต่อไปเพราะได้รับการอภัยแล้ว หนี้ของเราได้รับการชำระครบถ้วนแล้ว และไม่มีสิ่งใดเหลือให้ชำระคืนอีกแล้ว มนุษย์เราได้รับการช่วยให้รอดโดยความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซู ผู้ทรงช่วยเราให้รอดโดยบัพติศมา และพระโลหิตบนไม้กางเขนของพระองค์
ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องทำคือ เชื่อในน้ำและพระโลหิตของพระเยซู “และท่านทั้งหลายจะรู้จักความจริง และความจริงจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” (ยอห์น 8:32) จงเชื่อในความรอดในพระเยซู เพื่อได้รับการไถ่บาปนั้นง่ายกว่าการหายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านต้องทำคือ เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็น ความรอดคือการเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า
จงเชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ช่วยให้รอดของเรา (ในบัพติศมาของพระเยซู และการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน) และเพียงมีความเชื่อว่าความรอดเป็นของท่าน จงปฏิเสธความคิดของท่าน และเพียงแค่เชื่อความรอดในพระเยซู ผมอธิษฐานว่า ท่านเชื่อในพระเยซูอย่างแท้จริง และพร้อมที่จะได้รับการนำทางไปสู่ชีวิตนิรันดร์พร้อมกับพระองค์