Search

တရားဟောချက်များ

เรื่องที่ 10: วิวรณ์ (ข้อคิดเกี่ยวกับวิวรณ์)

[บทที่ 21-1] เมืองบริสุทธิ์ที่ลอยลงมาจากสวรรค์ (วิวรณ์ 21:1-27)

เมืองบริสุทธิ์ที่ลอยลงมาจากสวรรค์
(วิวรณ์ 21:1-27)
“ข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่ง ตัวไว้สำหรับสามี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “ดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้อง ไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไปเพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว”พระองค์ผู้ประทับบนพระ ที่นั่งตรัสว่า “ดูเถิด เราสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่” และพระองค์ตรัสอีกว่า “จงเขียนไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์ซื่อและสัตย์จริง” พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนต์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง” ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบอันเต็มด้วยภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการนั้นได้พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เชิญมานี่เถิด ข้าพ เจ้าจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก’ ท่านได้นำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และได้สำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็ม ซึ่งกำลังลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนั้นประกอบด้วยพระสิริของพระเจ้า ใสสว่างดุจแก้วมณีอันหาค่ามิได้ เช่นเดียวกับแก้วมณีโชติอันสุกใสและเป็นผลึก นครนั้นมีกำแพงสูงใหญ่ มีประตูสิบสองประตู และที่ประตูมีทูตสวรรค์สิบสององค์ และที่ประตูนั้นจารึกเป็นชื่อเผ่าของพวกอิสราเอลสิบสองเผ่า ทาง ด้านตะวันออกมีสามประตู ทางด้านเหนือมีสามประตู ทางด้านใต้มีสามประตู และทางด้านตะวัน ตกมีสามประตู และกำแพงนครนั้นมีฐานศิลาสิบสองฐาน และที่ฐานศิลานั้นจารึกชื่ออัครทูตสิบสองคนของพระเมษโปดก ทูตสวรรค์องค์ที่พูดกับข้าพเจ้านั้นถือไม้วัดทอง คำเพื่อจะวัดนคร และวัดประตู และกำแพงของนครนั้น นครนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวเท่ากันและท่านเอาไม้วัดนครนั้นได้สองพันกว่ากิโลเมตรกว้างยาวและสูงเท่ากันท่านวัดกำแพงนครนั้นได้ร้อยสี่สิบสี่ศอกตามมาตรา วัดของมนุษย์ ซึ่งเหมือนกันกับของทูตสวรรค์ กำแพงนครนั้นก่อด้วยแก้วมณีโชติ และนครนั้นสร้างด้วยทองคำเนื้อบริสุทธิ์ สุกใสดุจแก้ว ฐานของกำแพงนครนั้นประทับด้วยเพชรนิลจินดาทุกชนิด ฐานที่หนึ่งเป็นแก้วมณีโชติ ที่สองไพฑูรย์ ที่สามโมรา ที่สี่มรกต ที่ห้าโกเมน ที่หกทับทิม ที่เจ็ดบุษ ราคัมน้ำแก่ ที่แปดเพทาย ที่เก้าบุษราคัมน้ำอ่อน ที่สิบหยก ที่สิบเอ็ดนิล ที่สิบสองเป็นพลอยสีม่วง ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นทำด้วยไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในนครนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ใสราวกับแก้ว ข้าพเจ้าไม่เห็นมีพระวิหารในนครนั้นเลย เพราะพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และพระเมษโปดกทรงเป็นพระวิหารในนครนั้น นครนั้นไม่ต้อง การแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นแสงสว่างของนครนั้น และพระเมษโปดกทรงเป็นดวงประทีปของนครนั้น บรรดาประชาชาติจะเดินไปในท่ามกลางแสงสว่างของนครนั้น และบรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้ามาในนครนั้น ประตูนครทุกประตูจะไม่ปิดเลยในเวลากลางวัน และจะไม่มีเวลากลางคืนในนครนั้นเลย และคนทั้งหลายจะนำศักดิ์ศรีและเกียรติของบรรดาประชาชาติเข้ามาในนครนั้น สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนหรือพูดมุสาจะเข้าไปในนครนั้นไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้.”
 


คำอธิบาย

 
วรรคที่ 1: ข้าพเจ้าได้เห็นท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปหมดสิ้นแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว.
พระวจนะนี้หมายความว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา จะประทานฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ดังบำเหน็จของพระองค์แก่เหล่าวิสุทธิชนผู้ที่มีส่วนร่วมในการฟื้นขึ้นมาจากความตายครั้งแรก จากนี้ไป เหล่าวิสุทธิชนจะไม่ได้ใช้ชีวิตในท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิม แต่เป็นแห่งใหม่ ท้องฟ้าที่สองและแผ่นดินโลกที่สอง พระพรนี้เป็นบำเหน็จของพระเจ้าที่พระองค์ประทานให้แก่เหล่าวิสุทธิชนของพระองค์ พระเจ้าจะประทานพระพรที่แท้จริงแก่เหล่าวิสุทธิชนที่มีส่วนร่วมในการฟื้นขึ้นมาจากความตายครั้งแรกเท่านั้น.
อีกประการหนึ่ง ผู้ที่จะได้ชื่นชมยินดีกับพระพรนี้ คือเหล่าวิสุทธิชนที่ได้รับการอภัยต่อความผิดบาปโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระคริสต์ประ ทานให้ พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงเป็นเจ้าบ่าวของเหล่าวิสุทธิชน จากนี้ไป ทุกคนที่รอคอยเจ้าสาวต้องได้สวมเสื้อในการปกป้อง การอวยพระพร และอำนาจของเจ้าสาวดังเช่นมเหสีทั้งหลายของพระเมษโปดก เจ้าบ่าวของเขา และใช้ชีวิตในพระสิริในอาณาจักรอันรุ่งโรจน์ของพระองค์.
 
วรรคที่ 2: ข้าพเจ้าได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวแต่งตัวไว้สำหรับสามี.
พระเจ้าทรงเตรียมเมืองบริสุทธิ์ไว้สำหรับเหล่าวิสุทธิชน นครนี้เป็นนครเยรูซาเล็ม พระราชวัลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พระราชวังนี้เตรียมไว้สำหรับเหล่าวิสุทธิชนของพระเจ้า และทั้ง หมดนี้ได้ถูกวางแผนไว้โดยพระเยซู คริสต์สำหรับเหล่าวิสุทธิชน แม้แต่ต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระเจ้าทรงสร้างจักรวาล เหล่าวิสุทธิชนจึงไม่สามารถช่วยได้แต่ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าสำหรับบำเหน็จแห่งพระสิริของพระองค์ และมอบพระสิริแก่พระองค์ด้วยความเชื่อของเขา.
 
วรรคที่ 3: ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “ดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะทรงสถิตกับเขา เขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ และพระเจ้าเองจะประทับอยู่กับเขา.”
จากนี้ไป เหล่าวิสุทธิชนต้องใช้ชีวิตพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้าในพลับพลาของพระเจ้าตลอด ไป ทั้งหมดนี้เพราะพระสิริของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า บำเหน็จที่เหล่าวิสุทธิชนจะได้รับสำหรับความเชื่อของเขาในพระวจนะแห่งการช่วยให้รอดแห่งน้ำและพระวิญญาณ ทุกคนที่ได้สวมเสื้อแห่งพระพรที่ได้เข้าไปในพลับพลาของพระผู้เป็นเจ้า และใช้ชีวิตกับพระองค์จะขอบคุณและมอบพระสิริแก่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าตลอดไป.
 
วรรคที่ 4: “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว.”
ขณะที่พระเจ้าสถิตอยู่กับเหล่าวิสุทธิชน จะไม่มีน้ำตาแห่งความเศร้าโศก ไม่มีการคร่ำครวญจากการสูญเสียคนที่เขารัก และไม่มีการร้องไห้เพราะความเสียใจอีกต่อไป
ความเสียใจในท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมทั้งหมดจะหายไปจากชีวิตของเหล่าวิสุทธิชน และทุกสิ่งจะรอคอยเหล่าวิสุทธิชนก็คือ การใช้ชีวิตที่เป็นสุขและชื่นชมยินดีพร้อมกับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขาในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ที่เป็นพระเจ้าของเหล่าวิสุทธิชนเอง จะทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างและบริเวณแวดล้อมทั้งหมดขึ้นใหม่ เพื่อว่าจะไม่มีหยดน้ำตาแห่งความเศร้าโศก ไม่มีการร้องไห้ ความตาย การคร่ำครวญ ความเจ็บป่วย และสิ่งอื่น ๆ ที่ทรมานเขาในแผ่นดินโลกเดิม.
 
วรรคที่ 5: พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่า “ดูเถิด เราสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่.” และพระองค์ตรัสอีกว่า “จงเขียนไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสัตย์ซื่อและสัตย์จริง.”
ขณะนี้ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่ และทรงสร้างท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ การสร้างท้องฟ้าเดิมและแผ่นดินโลกเดิมของพระองค์หายไป พระองค์จะทรงสร้างท้องฟ้าที่สองและแผ่นดินโลกที่สองขึ้นมาใหม่ สิ่งที่วรรคนี้บอกเรามิใช่ว่า พระเจ้าจะนำท้องฟ้าเก่าและแผ่นดินโลกเก่ามาใช้ใหม่ แต่สร้างจักรวาลใหม่ขึ้นมาแทน พระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ และใช้ชีวิตกับเหล่าวิสุทธิชน เหล่าวิสุทธิชนผู้ที่มีส่วนร่วมในการฟื้นคืนพระชนม์ครั้งแรกจะมีส่วนในการอวยพระพรนี้ด้วย นี่คือสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถแม้แต่จะฝันถึงจากความคิดของเขาเอง แต่นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับเหล่าวิสุทธิชนของพระองค์ เหล่าวิสุทธิชนและทุกสิ่งจึงมอบพระสิริ ความขอบคุณ เกียรติยศ และการสรรเสริญทุกประการแก่พระเจ้าสำหรับภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้.
 
วรรคที่ 6: พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย.”
พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงวางแผนและสำเร็จในทุกสิ่งตั้งแต่ปฐมจนอวสาน ทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ พระองค์ทรงทำเพื่อพระองค์เองและเพื่อเหล่าวิสุทธิชนของพระองค์ เหล่าวิสุท ธิชนถูกเรียกว่า “พระคริสต์” และถูกทำให้เป็นประชาชนของพระเจ้า ผู้ที่เป็นเหล่าวิสุทธิชนของพระเจ้าเพราะการเชื่อในข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณ บัดนี้ตระหนักว่า แม้ว่าเขาจะมอบความขอบคุณและการสรรเสริญแก่พระเจ้าตลอดไป เขาก็ยังไม่ได้ขอบคุณพระองค์มากพอกับความรักและภารกิจของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า.
“เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” ในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ พระผู้เป็นเจ้าของเราประทานบ่อน้ำพุที่มีน้ำแห่งชีวิตแก่เหล่าวิสุทธิชน นี่คือบำเหน็จที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดของทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่เหล่าวิสุทธิชนของพระองค์ ขณะนี้ เหล่าวิสุทธิชนต้องใช้ชีวิตอยู่ในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ และดื่มจากน้ำพุแห่งชีวิตเพื่อเขาจะไม่กระหายอีกต่อ ไป อีกประการหนึ่ง ขณะนี้ เหล่าวิสุทธิชนได้เป็นบุตรของพระเจ้าที่จะมีชีวิตนิรันดร ดังเช่นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า และใช้ชีวิตในพระสิริของพระองค์ ผู้เขียนขอขอบคุณและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราอีกครั้งที่ประทานพระพรอันยิ่งใหญ่นี้ให้แก่เรา ฮาเลลูยา!
 
วรรคที่ 7: “ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา.”
“ผู้ใดมีชัยชนะ” ในที่นี้หมายถึง ผู้ที่ปกป้องความเชื่อของเขาที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ ความเชื่อนี้ช่วยให้เหล่าวิสุทธิชนเอาชนะโลก และศัตรูของพระเจ้า ความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราและในความรักแท้แห่งข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณที่พระองค์ประทานให้คือสิ่งที่มอบชัยชนะต่อความผิดบาปของโลกทั้งหมด ความอ่อนแอของเราเอง และการรุกรานของกลุ่มต่อต้านชาวคริสต์ให้แก่เรา
ผู้เขียนขอขอบคุณและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราที่ประทานชัยชนะต่อทุกสิ่งให้แก่เรา เหล่าวิสุทธิชนที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจะเอาชนะพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ด้วยความเชื่อของเขาอย่างเพียงพอ สำหรับเหล่าวิสุทธิชนทุกท่านและแต่ละท่าน พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราประทานความเชื่อนี้ด้วยสิ่งที่เขาสามารถเอาชนะจากการต่อสู้กับศัตรูของเขาทั้งหมด
พระเจ้าทรงอนุญาตให้เหล่าวิสุทธิชนที่เอาชนะโลกและพวกปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ได้ด้วยความเชื่อของเขา รับมรดกเป็นฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ของเราประทานความเชื่อแห่งชัยชนะแก่เหล่าวิสุทธิชนของพระองค์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับมรดกเป็นอาณาจักรของพระองค์ เพราะพระเจ้าประทานความเชื่อที่เอาชนะปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ให้แก่เราบัดนี้พระเจ้าจึงเป็นพระเจ้าของเราและเราเป็นบุตรของพระองค์ผู้เขียนขอขอบคุณและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราที่ประทานความเชื่อแห่งชัยชนะต่อศัตรูนี้ให้แก่เรา.
 
วรรคที่ 8: “แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนต์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง.”
ในแก่นแท้ของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าแห่งสัจธรรมและพระเจ้าแห่งความรัก แล้วผู้ใดบ้างที่ขลาดมาแต่ดั้งเดิมต่อพระพักตร์พระเจ้า? ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่เกิดมาจากความผิดบาปดั้งเดิม และผู้ที่ไม่ได้รับการชำระล้างมลทินบาปของเขาเองด้วยพระวจนะแห่งข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานให้ เพราะในแก่นแท้ของเขา เขาเคารพพระวจนะของปีศาจมากกว่าของพระเจ้า เขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างชัดเจน นี่เป็นเพราะ เขาเคารพปีศาจต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า และเพราะเขารักและติดตามความมืดมากกว่าแสงสว่าง ที่เขาไม่สามารถแต่ขี้ขลาดต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า.
พระเจ้าในใจความของพระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง ดังนั้น จึงเป็นความจริงที่สร้างขึ้นเพื่อผู้คนเหล่านี้ที่เป็นความมืดจะเกรงกลัวพระเจ้า ดังเช่นดวงวิญญาณของผู้ที่เป็นของซาตานที่รักความมืด เขาจะขี้ขลาดต่อพระพักตร์พระเจ้า ผู้ทรงเป็นแสงสว่างด้วยพระองค์เอง นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดเขาต้องส่งความเป็นปีศาจและความอ่อนแอของเขาให้พระเจ้า และรับการอภัยต่อความผิดบาปของเขาจากพระองค์.
ผู้ที่ “ไม่เชื่อ” ที่จิตใจของเขาไม่เชื่อในความรักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และข่าวประเสริฐเรื่องน้ำและพระวิญญาณของพระองค์ตั้งแต่ดั้งเดิม เป็นศัตรูของพระองค์ และคนบาปที่ใหญ่ที่สุดต่อพระพักตร์พระเจ้า วิญญาณของเขาเป็นของคนน่าเกลียดน่าชัง และเขาต่อต้านพระเจ้า ความรัก และทำบาปทุกอย่าง ทำตามสัญลักษณ์จอมปลอม เคารพรูปเคารพทุกชนิด และพูดมุสาทุกเรื่อง ดังนั้น เขาจะถูกทิ้งลงไปในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่เพราะการพิพากษาอันชอบธรรมของพระเจ้า นี่คือการลงทัณฑ์ความตายครั้งที่สองของเขา.
พระเจ้าทรงไม่ประทานฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ของพระองค์ให้แก่ผู้ที่ขี้ขลาดต่อพระพักตร์พระองค์ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระวจนะข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณของพระองค์ และผู้ที่กลับไปเป็นผู้รับใช้ของซาตาน คนที่น่าเกลียดน่าชัง พระผู้เป็นเจ้าของเราประทานการลงทัณฑ์ชั่วนิรันดรของพระองค์ให้เขาเท่านั้น ทิ้งพวกเขาทุกคน (รวมทั้งคนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนต์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสา) ลงไปในบึงไฟและกำมะถัน นรกที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา คือความตายครั้งที่สองของเขา.
 
วรรคที่ 9: ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันเจ็ดใบอันเต็มด้วยภัยพิบัติสุดท้ายทั้งเจ็ดประการนั้นได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “เชิญมานี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก.”
ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือขันใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยภัยพิบัติจากทั้งเจ็ดใบกล่าวกับยอห์นว่า “เชิญมานี่เถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก” “มเหสีของพระเมษโปดก” ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่เป็นเจ้าสาวของพระเยซู คริสต์เพราะการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระองค์ประทานให้ด้วยใจของเขา.
 
วรรคที่ 10-11: ท่านได้นำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และได้สำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นเมืองใหญ่ คือเยรูซาเล็ม ซึ่งกำลังลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนั้นประกอบด้วยพระสิริของพระเจ้า ใสสว่างดุจแก้วมณีอันหาค่ามิได้ เช่นเดียวกับแก้วมณีโชติอันสุกใสและเป็นผลึก.
“นครใหญ่ คือเยรูซาเล็ม” หมายถึงเมืองบริสุทธิ์ที่เหล่าวิสุทธิชนต้องใช้ชีวิตพร้อมกับเจ้า บ่าวของเขา นครนี้ที่ยอห์นได้เห็นช่างสวยงามและน่าอัศจรรย์จริง ๆ คือความอัศจรรย์ของขนาด ประดับด้วยแก้วมณี สะอาดสะอ้าน ทูตสวรรค์สำแดงให้ยอห์นเห็นที่ที่เจ้าสาวของพระเยซู จะได้ใช้ชีวิตพร้อมกับเจ้าบ่าวของหล่อน เมืองบริสุทธิ์แห่งเยรูซาเล็มนี้ลอยลงมาจากสวรรค์ คือบำเหน็จของพระเจ้าที่พระองค์ประทานให้แก่มเหสีของพระเมษโปดก.
นครเยรูซาเล็มส่องสว่างและแสงสว่างก็เป็นเช่นเดียวกับแก้วมณีโชติ สุกใสและเป็นผลึก ดังนั้น พระสิริของพระเจ้าจึงอยู่กับผู้ที่ใช้ชีวิตที่นี่ตลอดไป อาณาจักรของพระเจ้าคือเมืองแห่งแสงสว่าง และมีเพียงผู้ที่ได้รับการชำระล้างความมืด ความอ่อนแอ และความผิดบาปของเขาเท่านั้น ที่จะได้เข้าไปในเมืองบริสุทธิ์นี้ ถ้าเช่นนั้น เราต้องเรียนรู้ เข้าใจและเชื่อในพระวจนะแท้จริงแห่งข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าของเราประทานให้เรา.
 
วรรคที่ 12: เมืองนั้นมีกำแพงสูงใหญ่ มีประตูสิบสองประตู และที่ประตูมีทูตสวรรค์สิบสององค์ และที่ประตูนั้นจารึกเป็นชื่อเผ่าของพวกอิสราเอลสิบสองเผ่า.
ประตูของเมืองนี้มีทูตสวรรค์สิบสององค์และที่ประตูนั้นจารึกเป็นชื่อเผ่าของพวกอิสราเอลสิบสองเผ่า เมืองนี้มี “กำแพงสูงใหญ่” บอกเราว่าหนทางไปสู่เมืองบริสุทธิ์นี้ แสนลำบาก อีกประ การหนึ่ง การได้รับการช่วยให้รอดจากความผิดบาปของเราทั้งหมดต่อพระพักตร์พระเจ้านั้นเป็นไปไมได้ด้วยความพยายามของมนุษย์หรือวัตถุต่าง ๆ ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง.
การได้รับการหลุดพ้นจากความผิดบาปของเราทั้งหมดและได้เข้าไปในเมืองบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราจำเป็นต้องมีความเชื่อเดียวกับเหล่าสาวกทั้งสิบสององค์ของพระเยซู ความเชื่อที่เชื่อในสัจธรรมเรื่องข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ถ้าเช่นนั้น จะไม่มีผู้ใดที่ไม่มีความเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้ได้เข้าไปในเมืองบริสุทธิ์นี้ นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดทูตสวรรค์ทั้งสิบสององค์ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงเลือกไว้ จึงเฝ้าประตูอยู่.
ประโยคที่ว่า “ที่ประตูนั้นจารึกเป็นชื่อเผ่า” อีกนัยหนึ่งบอกเราได้ว่า เจ้าของของเมืองนี้ถูกตัดสินแล้ว เจ้าของของเมืองนี้มิใช่ใครนอกจากพระเจ้า พระองค์เอง และประชาชนของพระองค์ เพราะเมืองนี้เป็นของประชาชนของพระเจ้าผู้ที่เป็นบุตรของพระองค์ในขณะนี้.
 
วรรคที่ 13: ทางด้านตะวันออกมีสามประตู ทางด้านเหนือมีสามประตู ทางด้านใต้มีสามประตู และทางด้านตะวันตกมีสามประตู.
เพราะทางด้านตะวันออกมีสามประตู ทางด้านเหนือมีสามประตู ทางด้านใต้มีสามประตู และทางด้านตะวันตกมีสามประตูเช่นกัน ประโยคนี้แสดงให้เราเห็นว่า มีเพียงผู้ที่ได้รับการอภัยต่อความผิดบาปโดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณด้วยใจของเขาเท่านั้น ที่จะได้เข้าไปในเมืองนี้.
 
วรรคที่ 14: และกำแพงเมืองนั้นมีฐานศิลาสิบสองฐาน และที่ฐานศิลานั้นจารึกชื่ออัครทูตสิบสองคนของพระเมษโปดก.
หินก้อนใหญ่ใช้ก่อสร้างอาคารหรือพระราชวังได้เป็นอย่างดีคำว่า “ศิลา” ที่ใช้ในพระคัมภีร์ไบเบิลก็เพื่ออ้างถึงความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา วรรคนี้บอกเราว่า การได้เข้าไปในเมือง บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า เราต้องมีความเชื่อที่พระองค์ประทานให้แก่มนุษยชาติ ความเชื่อที่เชื่อในการรอดจากความผิดบาปของเราทั้งหมดอันสมบูรณ์แบบของพระองค์ ความเชื่อของเหล่าวิสุทธิชนที่มีค่ามากกว่าแก้วมณีของเมืองบริสุทธิ์ วรรคนี้บอกเราว่า กำแพงของเมืองนี้มีฐานศิลาสิบสองฐาน และที่ฐานศิลานั้นจารึกชื่ออัครทูตสิบสองคนของพระเมษโปดก ประโยคนี้บอกเราว่า เมืองของพระเจ้าอนุญาตให้เพียงผู้ที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอัครทูตสิบสองคนของพระเยซู คริสต์.
 
วรรคที่ 15: ทูตสวรรค์องค์ที่พูดกับข้าพเจ้านั้นถือไม้วัดทองคำเพื่อจะวัดเมือง และวัดประตู และกำแพงของเมืองนั้น.
พระวจนะนี้หมายถึงการได้เข้าไปในเมืองที่พระเจ้าทรงสร้าง ผู้ที่ต้องมีความเชื่อชนิดที่พระองค์อนุญาต ชนิดที่จะนำการอภัยต่อความผิดบาปมาให้เขาหรือหล่อน ในที่นี้ กล่าวว่าทูตสวรรค์ที่พูดกับยอห์นมีไม้วัดทองคำเพื่อวัดเมือง ประโยคนี้หมายความว่า เราต้องเชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าของเราประทานพระพรทุกประการนี้ตามข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณให้แก่เรา ดังประโยคที่ว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” (ฮีบรู 11:1) พระเจ้าประทานเมืองบริสุทธิ์ และฟ้สวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ให้เราจริง ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้.
 
วรรคที่ 16: เมืองนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวเท่ากันและท่านเอาไม้วัดเมืองนั้นได้สองพันกว่ากิโลเมตร กว้างยาวและสูงเท่ากัน.
เมืองนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่มีความยาว ความกว้าง และความสูงเท่ากัน ประโยคนี้บอกว่า เราทุกคนต้องมีความเชื่อเรื่องการกลับมาเกิดใหมเหมือนกับคนของพระเจ้า โดยการเชื่อในข่าวประ เสริฐของน้ำและพระวิญญาณ เช่นข้อเท็จจริงที่พระผู้เป็นเจ้าของเราจะไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดที่ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณนี้ ได้เข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า.
มีหลายคนที่มีความเข้าใจที่คลุมเครือว่า พวกเขาจะได้เข้าไปในเมืองบริสุทธิ์เพียงเพราะการเป็นชาวคริสต์ แม้ว่าพวกเขาจะยังมีมลทินบาปอยู่ แต่พระผู้เป็นเจ้าของเราประทานการช่วยให้รอดจากความผิดบาป และวิญญาณบริสุทธิ์ และทรงทำให้เป็นคนของพระองค์เพียงผู้ที่เชื่อในความสัตย์จริงที่ว่าพระองค์ทรงยกความผิดบาปของพวกเขาทุกประการโดยการรับบัพติศมาบนโลกนี้ของพระ องค์ และทรงหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน นี่คือความจริงที่พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงขอเรา.
 
วรรคที่ 17: ท่านวัดกำแพงเมืองนั้นได้ร้อยสี่สิบสี่ศอกตามมาตราวัดของมนุษย์ ซึ่งเหมือน กันกับของทูตสวรรค์.
ความหมายของหมายเลขสี่ตามพระคัมภีร์ไบเบิลคือ ความทรมาน ความเชื่อที่พระผู้เป็นเจ้าต้องการจากเราไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดจะมีได้ แต่ความเชื่อนี้จะมีได้เพียงผู้ที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจพระวจนะทั้งหมดด้วยความคิดของเขาเอง ดังเช่นชาวคริสต์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเพียงเพราะการเชื่อในไม้กางเขนของพระเยซู และเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด ท่านเข้าใจสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงหมายถึงขณะที่ท่านตรัสไว้ในยอห์น 3:5 ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญ ญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” หรือไม่? ท่านเข้าใจความหมายของการเสด็จมายังโลกนี้ การรับบัพติศมาโดยยอห์น การรับความผิดบาปของโลกไว้บนไม้กางเขน และการหลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขนของพระผู้เป็นเจ้าของเราหรือไม่? ถ้าท่านตอบคำถามเหล่านี้ได้ ท่านจะเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงในที่นี้.
 
วรรคที่ 18: กำแพงเมืองนั้นก่อด้วยแก้วมณีโชติ และนครนั้นสร้างด้วยทองคำเนื้อบริสุทธิ์ สุกใสดุจแก้ว.
วรรคนี้บอกเราว่า ความเชื่อที่อนุญาตให้เราเข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ และไม่มีสิ่งใดในโลกมาเจือปนแน่นอน.
 
วรรคที่ 19-20: ฐานของกำแพงเมืองนั้นประทับด้วยเพชรนิลจินดาทุกชนิด ฐานที่หนึ่งเป็นแก้วมณีโชติ ที่สองไพฑูรย์ ที่สามโมรา ที่สี่มรกต ที่ห้าโกเมน ที่หกทับทิม ที่เจ็ดบุษราคัมน้ำแก่ ที่แปดเพทาย ที่เก้าบุษราคัมน้ำอ่อน ที่สิบหยก ที่สิบเอ็ดนิล ที่สิบสองเป็นพลอยสีม่วง.
ฐานของกำแพงเมืองประดับด้วยเพชรนิลจินดาทุกชนิด พระวจนะนี้บอกเราว่า เราจะได้รับการบำรุงเลี้ยงดูด้วยความเชื่อชนิดต่าง ๆ จากพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าของเรา และเพชรนิลจินดานี้แสดงให้เราเห็นถึงพระพรทุกชนิดที่พระผู้เป็นเจ้าของเราประทานแก่เหล่าวิสุทธิชนของพระองค์.
 
วรรคที่ 21: ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นทำด้วยไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในเมืองนั้นเป็นทองคำบริสุทธิ์ ใสราวกับแก้ว. 
ไข่มุก หมายถึง “ความสัตย์จริง” ในพระคัมภีร์ไบเบิล (มัทธิว 13:46) ผู้ที่แสวงหาความจริงที่แท้จริงจะยอมทิ้งการครอบครองของเขาหรือเธอทั้งหมดด้วยความยินดีเพื่อได้ครอบครองความจริงที่ทำให้เขาหรือเธอได้รับชีวิตนิรันดร วรรคนี้บอกเราว่า เหล่าวิสุทธิชนที่จะได้เข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องมีความอดทนอย่างสูงขณะที่อยู่บนโลกนี้ หยัดยืนอย่างมั่นคงต่อหลักของความเชื่อในความจริงของเขา ผู้ที่เชื่อในพระวจนะแห่งความจริงที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ อีกนัยหนึ่ง จำ เป็นต้องมีความอดทนอันยิ่งใหญ่เพื่อปกป้องความเชื่อของเขา.
 
วรรคที่ 22-23: ข้าพเจ้าไม่เห็นมีพระวิหารในเมืองนั้นเลย เพราะพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และพระเมษโปดกทรงเป็นพระวิหารในนครนั้น นครนั้นไม่ต้องการแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าเป็นแสงสว่างของเมืองนั้น และพระเมษโปดกทรงเป็นดวงประทีปของเมืองนั้น. 
ประโยคนี้หมายความว่า เหล่าวิสุทธิชนทุกท่านจะได้รับการโอบกอดไว้ในอ้อมแขนพระเยซู คริสต์ กษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย และเมืองเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์นี้จะไม่ต้องการแสงของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เดิม เพราะพระเยซู คริสต์ จะเป็นแสงสว่างของเมืองนั้น.
 
วรรคที่ 24: บรรดาประชาชาติจะเดินไปในท่ามกลางแสงสว่างของเมืองนั้น และบรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้ามาในเมืองนั้น.
ประโยคนี้บอกเราว่า ประชาชนผู้ที่ใช้ชีวิตในอาณาจักรพันปี บัดนี้จะได้เข้าไปในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ “บรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลก” ในที่นี้ หมายถึง เหล่าวิสุทธิชนที่ใช้ชีวิตในอาณาจักรพันปี ในวรรคต่อไปยังกล่าวอีกว่า บรรดากษัตริย์ในแผ่นดินโลกเหล่านี้จะ “นำศักดิ์ศรีของเขาเข้ามาในเมืองนั้น” ประโยคนี้บอกเราว่า เหล่าวิสุทธิชนผู้ได้ใช้ชีวิตในร่างอันมีเกียรติของเขาแล้ว บัดนี้เขาจะได้ย้ายจากอาณาจักรพันปีไปยังแผ่นดินของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ที่สร้างขึ้นมาใหม่ของพระเจ้า.
ถ้าเช่นนั้น จะมีเพียงผู้ที่กลับมาเกิดใหม่โดยการเชื่อในข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญ ญาณขณะที่อยู่บนโลกนี้ และยินดีที่จะใช้ชีวิตในแผ่นดินของพระคริสต์เป็นเวลาพันปีเท่านั้น ที่จะได้เข้าไปในเมืองเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์.
 
วรรคที่ 25: ประตูเมืองทุกประตูจะไม่ปิดเลยในเวลากลางวัน และจะไม่มีเวลากลางคืนในเมืองนั้นเลย. 
เพราะฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งเมืองศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่นั้น เต็มไปด้วยแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว จะไม่มีเวลากลางคืน หรือแสงปีศาจในเมืองนั้นเลย.
 
วรรคที่ 26: และคนทั้งหลายจะนำศักดิ์ศรีและเกียรติของบรรดาประชาชาติเข้ามาในเมืองนั้น.
ประโยคนี้บอกเราว่า เพราะพระฤทธานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้า ผู้คนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตในแผ่นดินของพระคริสต์เป็นเวลาพันปี จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในแผ่นดินแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ แผ่นดินซึ่งเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นตั้งอยู่.
 
วรรคที่ 27: สิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือผู้ใดที่ประพฤติเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนหรือพูดมุสาจะเข้าไปในเมืองนั้นไม่ได้เลย เฉพาะคนที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้.
ในบรรดาชาวคริสต์และผู้ที่ไม่ใช่ชาวคริสต์ในโลกนี้ก็เหมือนกัน ทุกคนที่ไม่รู้จักสัจธรรมแห่งข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณต่างก็เป็นสิ่งใดที่เป็นมลทิน น่าสะอิดสะเอียน และพูดมุสา พวกเขาจะไม่ได้เข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้น.
พระวจนะของพระเจ้าในที่นี้อนุญาตให้เรายืนยันเพียงว่า พระฤทธานุภาพของข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เราบนโลกนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด แม้ว่าข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณได้รับการเผยแพร่ไปยังหลาย ๆ คนบนโลกนี้ ยังมีหลายครั้งที่ข่าวประเสริฐนี้ได้รับการไม่ใส่ใจและถูกดูถูกแม้แต่พวกที่เรียกตัวเองว่าชาวคริสต์ มีแค่เพียงข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เท่านั้นที่เป็นกุญแจสู่สวรรค์.
หลายคนยังคงไม่รู้จักความจริงนี้ แต่ท่านต้องรู้ว่า ผู้ใดก็ตามที่รู้จักและเชื่อว่าข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เขาหรือเธอ คือกุญแจไปสู่สวรรค์ และไปสู่การอภัยต่อความผิดบาป เขาจะมีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต.
ถ้าท่านยอมรับ และเชื่อในความจริงแห่งข่าวประเสริฐของน้ำและพระวิญญาณ ท่านจะได้สวมเสื้อแห่งพระพรให้เข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้.