(โรม 6:12-19)
“เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาปให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรมแต่จงถวายตัวท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำบาปเพราะมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติแต่อยู่ใต้พระ คุณกระนั้นหรือ ก็อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม แต่จงขอบพระคุณพระเจ้า เพราะ ว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป แต่บัดนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นซึ่งทรงให้ครอบครองท่าน เมื่อท่านพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็ได้เป็นทาสของความชอบธรรม ข้าพเจ้ายกเอาตัวอย่างมนุษย์มาพูด เพราะเหตุเนื้อหนังของท่านอ่อนกำลัง เพราะท่านเคยให้อวัยวะของท่านเป็นทาสของการโสโครกและของการบาปซ้อนบาปฉันใด บัดนี้ท่านจงให้อวัยวะของท่านเป็นทาสของความชอบธรรม เพื่อให้ถึงการชำระให้บริสุทธิ์ฉันนั้น”
พวกเราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในความบาปเพื่อความกรุณาอีกต่อไป
สาวกเปาโลบอกเราว่า ผู้ชอบธรรมควรจะใช้ชีวิตหลังจากได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากบาปได้อย่างไร ในโรมบทที่ 6 ท่านอ้างถึง “ความศรัทธา” อีกครั้งด้วยการรับบัพติศมาของพระเยซู ความบาปของเราได้รับการอภัยเพียงครั้งเดียวและเพื่อทุกครั้งโดยการเชื่อในการรับบัพติศมา ไม้กางเขน และการฟื้นคืนชีพของพระเยซู
พวกเราจะเต็มไปด้วยความชอบธรรมและการช่วยให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ ถ้าไม่มีการรับบัพติศมาของพระเยซู ถ้าพระเยซูไม่ได้รับเอาความบาปของเราทั้งหมดไว้ ขณะที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา พวกเราจะพูดไม่ได้ว่า พวกเราเป็นผู้ชอบธรรมหลังจากได้รับการอภัยต่อบาป
พวกเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า พวกเราเป็นผู้ชอบธรรมเพราะความบาปของเราทั้งหมดได้ถ่ายไปยังพระเยซู และเพราะพระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และถูกพิพากษาเพื่อความบาปของเราทั้งหมด โรมบทที่ 6 สอนทั้งเรื่องการช่วยให้รอดโดยความศรัทธาและชีวิตของผู้ชอบธรรม เขากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ” (โรม 6:1) เขากล่าวไว้ในข้อ ความก่อนหน้านี้ว่า “เมื่อมีธรรมบัญญัติ ก็ทำให้มีการละเมิดธรรมบัญญัติปรากฏมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาปปรากฏมากขึ้น ที่นั้นพระคุณก็จะไพบูลย์ยิ่งขึ้น เพื่อว่าบาปได้ครอบงำ ทำให้ถึงซึ่งความตายฉันใด พระคุณก็ครอบ งำด้วยความชอบธรรมให้ถึงซึ่งชีวิตนิรันดร์ โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฉันนั้น” (โรม 5:20-21) ความบาปของโลกจะไม่ยิ่ง ใหญ่ไปกว่าความรักและความชอบธรรมของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็ย่อมถึงวันแตกดับ ความบาปของเราได้รับการอภัยโดยความรักและความชอบธรรมของพระเจ้าโดยความศรัทธาในพระวจนะที่แท้จริง
พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าพวกเราไม่สามารถใช้ชีวิตในความบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้น แม้ว่าพวกเราผู้ใช้ชีวิตในเนื้อหนังจะได้ รับการอภัยต่อความบาปของเราทั้งหมดแล้ว “พวกเราที่ตายต่อบาปแล้ว จะมีชีวิตในบาปต่อไปอย่างไรได้ ท่านไม่รู้หรือว่า เราทั้งหลายที่ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในความตายของพระองค์ เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระ องค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น”(โรม 6:2-4)
พวกเราได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์
ร่างเก่าของเราถูกตรึงกางเขนพร้อมพระเยซู ประโยคนี้หมาย ความว่าพวกเราตายต่อบาป บาปของเราทั้งหมดได้ถ่ายไปยังพระเยซูและพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ในแผ่นดินของเรา ดังนั้นการสิ้นพระ ชนม์ของพระเยซู คือการตายต่อบาปของเรา “เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระ องค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น” ร่างที่มีเนื้อหนังเก่าของเราได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าทรงรับเอาความผิดบาปของเราไว้ที่พระองค์โดยการรับบัพติศมาของพระองค์ และทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในแผ่นดินของคนบาป พระองค์ทรงปราศจากความผิดบาปโดยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงรับเอาความผิดบาปทั้งหมดของคนบาปไว้ที่พระองค์ และทรงถูกพิพากษาในแผ่นดินของพวกเขา ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่? พระองค์เองมิได้ประสงค์จะถูกพิพากษา แต่พวกเราคนบาปถูกพิพากษาในพระองค์ เพื่อให้เราได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซู คริสต์
เปาโลให้ความสำคัญต่อการรับบัพติศมาของพระเยซูเป็นอย่างยิ่ง เราก็เผยแพร่เรื่องการรับบัพติศมาของพระเยซูด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะเผยแพร่เรื่องการรับบัพติศมาของพระองค์จากความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยความศรัทธา พระเยซูทรงรับเอาความผิดบาปของคนบาปไว้โดยการรับบัพติศมาของพระองค์ และทรงสิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขา ดังเช่นคนบาปถ่ายบาปของเขาโดยการเอามือของเขาวางบนหัวของเครื่องบูชา และการฆ่าเครื่องบูชาในยุคของพระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม
ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาได้ให้บัพติศมาแก่พระเยซู พระเมษโปดกของพระเจ้า พระองค์ทรงรับความผิดบาปทั้งหมดของโลกไว้ที่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาดังเช่นเครื่องบูชาไถ่บาป ดัง นั้นการสิ้น พระชนม์ของพระองค์จึงเป็นความตายของเรา และความตายของผู้ที่เชื่อทุกคน ทุกคนที่ได้ รับบัพติศมาเข้าในพระเยซู คริสต์ จะได้เข้าในพระเยซู คริสต์ ผู้คนที่ไม่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซู จะไม่ได้รับการช่วยให้รอด ความไว้วางใจไม่ยอมรับตัวพวกเขาและไม่สามารถเอาชนะโลกได้
มีเพียงผู้ที่เชื่อในการรับบัพติศมาของพระเยซู คริสต์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาหรือเธอตายบนไม้กางเขนในพระองค์ คนคนนี้จะปกครองและเอา ชนะโลก ปฏิเสธตัวเอง เขาหรือเธอจะไว้ใจพระวจนะของพระเจ้า และเชื่อในพระวจนะนั้น มีเพียงผู้ที่เชื่อว่าการรับบัพติศมาของพระเยซูเป็นวิธีที่จำเป็นสำหรับพระ องค์ที่จะแบกรับความบาปของโลกเท่านั้น ที่จะได้ รับการอภัยต่อบาป นั่นคือการช่วยให้รอดที่สมบูรณ์แบบของพระองค์
หัวใจของการช่วยให้รอดโดยการอภัยต่อบาป คือการรับบัพติศมาและพระโลหิตของพระเยซู ถ้าพระเยซูไม่รับเอาความบาปของคนบาปไว้โดยการรับบัพติศมาของพระองค์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ก็จะไม่มีผลอันใดต่อการช่วยให้รอดของเรา แก่นแท้ของการช่วยให้รอดคือการรับบัพติศมาของพระเยซู ความบาปทั้งหมดของโลกถูกถ่ายไปยังพระเยซู เมื่อตอนที่ยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมาทำพิธีรับบัพติศมาแก่พระองค์
พวกเราใช้ชีวิตกับพระเจ้าและดำเนินตามชีวิตใหม่
เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น” (โรม 6:4) ทุกคนที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซู จะมีการไถ่บาปโดยความเชื่อ จะได้เข้าในพระ องค์ และมีชีวิตใหม่ในพระองค์ ความเชื่อนี้เป็นความเชื่ออันยิ่งใหญ่ ความเชื่อในการรับบัพติศมาของพระองค์เป็นความเชื่อที่ก่อตั้งขึ้นบนผืนแผ่นดิน
“เหตุฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายโดยเดชพระสิริของพระบิดาแล้ว เราก็จะได้ดำ เนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นมาอย่างพระ องค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายด้วย” (โรม 6:4-5) พวกเราสามารถเข้ากับพระเจ้าได้โดยการเชื่อในการรับบัพติศมาของพระเยซู
บัดนี้ ผู้ที่วางใจในพระเยซู คริสต์ สามารถเดินในร่างใหม่ของชีวิตได้ ร่างเก่าของเราที่ยังคงอยู่ก่อนที่เราจะกลับมาเกิดใหม่ได้ตายไปแล้ว และพวกเราก็กลายเป็นคนใหม่ และสามารถทำงานใหม่ ใช้ชีวิตในวิถีใหม่และใช้ชีวิตโดยความเชื่อใหม่ ในปัจจุบันผู้ที่กลับมาเกิดใหม่ไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบเดิม และวิธีคิดแบบเดิม เหตุผลที่ว่าเหตุใดพวกเราจึงต้องปฏิเสธวิธีคิดแบบเดิมของเราก็เพราะร่างเดิมของเราอยู่บนไม้กางเขนกับพระเยซู คริสต์
2 โครินธ์ 5:17 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่า ๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” พระผู้เป็นเจ้าทรงรับบัพติศมา ณ แม่น้ำจอร์แดนเพื่อทรงรับเอาความบาปของเรา ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และทรงฟื้นคืนชีพจากความตาย ดังนั้น พระองค์จึงช่วยคนบาปทุกคนให้รอดพ้นจากความบาปของเขาเพื่อทำให้เขาเดินในร่างใหม่ของชีวิต สิ่งเก่า ๆ ของเราดังเช่น ความทุกข์โศก ความลำบาก ความขมขื่น และจิตใจอันชอกช้ำได้ชำระล้างไปแล้ว บัดนี้ชีวิตใหม่ของเราได้เริ่มต้นขึ้น การได้รับการช่วยให้รอดเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ของเรา
พระเจ้าตรัสแก่ชาวอิสราเอลให้ทำพิธีปัสกา หลังจากที่พวกเขาลี้ภัยมาจากอียิปต์ และเข้าไปในแผ่นดินของกานาน การอพยพจากอียิปต์เป็นสัญลักษณ์ของการช่วยให้รอดจากบาป พระเจ้าตรัสแก่ชาวอิสราเอลว่า “พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในประเทศอียิปต์ว่า ให้เดือนนี้เป็นเดือนเริ่มต้นสำหรับเจ้าทั้งหลายให้เป็นเดือนแรกในปีใหม่สำหรับพวกเจ้า จงสั่งชุมนุมคนอิสราเอลว่าในวันที่สิบเดือนนี้ ให้ผู้ชายทุกคนเตรียมลูกแกะ ครอบครัวละตัว ตามตระกูลของตน ถ้าครอบครัวใดมีคนน้อยกินลูกแกะตัวหนึ่งไม่หมด ก็ให้รวมกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกัน เตรียมลูกแกะตัวหนึ่งตามจำนวนคนตามที่เขาจะกินได้กี่มากน้อย ให้นับจำนวนคนที่จะกินลูกแกะนั้น ลูกแกะของเจ้าต้องปราศจากตำหนิ เป็นตัวผู้อายุไม่เกินหนึ่งขวบ เจ้าจงเอามาจากฝูงแกะ หรือฝูงแพะ จงเก็บไว้ให้ดีถึงวันที่สิบสี่เดือนนี้ แล้วในเย็นวันนั้น ให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมด ฆ่าลูกแกะของเขา แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้าง บน ณ เรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย ในคืนวันนั้นให้เขากินเนื้อปิ้ง กับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม เนื้อที่ยังดิบหรือเนื้อต้มอย่ากินเลย แต่จงปิ้งทั้งหัวและเขา และเครื่องในด้วย จงกินให้หมดอย่าให้มีเศษเหลือจนถึงเวลาเช้า เศษเหลือถึงเวลาเช้าก็เผาเสีย เจ้าทั้งหลายจงเลี้ยงกันดังนี้ คือให้คาดเอว สวมรอง เท้า และถือไม้เท้าไว้ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้เป็นปัสกาของพระเจ้า” (อพยพ 12:1-11) เราต้องจำไว้ว่า พระเจ้าทรงสั่งให้เขาทานเนื้อแกะกับขนมปังไร้เชื้อและผักรสขมในพิธีปัสกา
มีของขม ๆ หลายอย่างเกิดขึ้นหลังจากการช่วยให้รอดจากความ ผิดบาป ผักรสขมเป็นสิ่งแทนถึงการปฏิเสธตัวเอง มีความยากลำบากแน่ นอน พวกเรายังต้องจำไว้ว่าพวกเราได้ฝังเข้าในพระคริสต์ “ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น พระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซู คริสต์” (โรม 6:10-11)
นี่คือหัวใจของการเข้าสนิทกับพระเยซู พวกเราเข้าสนิทกับพระเยซูโดยการเชื่อในการรับบัพติศมาของพระองค์ ไม้กางเขน และการฟื้นคืนชีพ ซึ่งพระองค์ทรงบรรลุแล้ว การรับใช้ของพระองค์รวมไปถึงการประสูติของพระองค์ การรับบัพติศมาจากยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา การถูกตรึงบนไม้กางเขน การฟื้นคืนชีพ การเสด็จสู่สวรรค์ และการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระองค์ตามคำพิพากษา การเชื่อสิ่งเหล่า นี้คือความเชื่อที่แท้จริง นั่นคือการเชื่อในการช่วยให้รอด การพิพากษา และความชอบธรรมของพระเจ้า
โรม 6:10 กล่าวว่า “ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น พระองค์ได้ทรงตายต่อบาปหนเดียวเป็นพอ” พระเยซูมิได้ชำระล้างความผิดบาปของเราตามเวลาที่แบ่งเป็นสองช่วง พระเยซูทรงชำระความผิดบาปของโลกทั้งหมดในครั้งเดียว โรม 6:10-11 กล่าวว่า “แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตสนิทกับพระเจ้า เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซู คริสต์” พวกเราได้ตายต่อความบาปแล้วจริง ๆ แต่ยังมีชีวิตสนิทกับพระเจ้า บัดนี้ พวกเรามีชีวิตสนิทกับพระเจ้า พวกเรามีชีวิตใหม่และเป็นสัตว์โลกใหม่
“เหตุฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ” (โรม 6:12-14)
“เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ” เราไม่มีความผิดบาปหลังจากได้รับการไถ่บาป ไม่ว่าจะเกิดความอ่อนแอใด ๆ ในชีวิตเราก็ตาม เรายังคงมีความอ่อนแอแน่นอน เพราะเรายังใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง อย่างไรก็ตาม ความผิดบาปจะไม่มีอำนาจเหนือเรา จะไม่มีการลงโทษแก่เรา เพราะเราได้รับการอภัยต่อบาปโดยการเชื่อในการรับบัพติศมาของพระเยซู และการพิพากษาบาป โดยพระโลหิตของพระองค์ ไม่ว่าเราจะอ่อนแอเพียงไรก็ตามความอยุติธรรมของเราก็เป็นความบาปเช่นกัน
มันเป็นความจริงที่ความผิดบาปไม่สามารถมีอำนาจเหนือเราได้ พระเจ้าทรงสร้างให้ผู้ชอบธรรมไม่ถูกครอบงำโดยบาป พระผู้เป็นเจ้าทรงชำระความผิดบาปของเราโดยพิธีรับบัพติศมาของพระเยซูเพียงครั้งเดียวและเพื่อทั้งหมดอย่างสะอาดหมดจดแล้ว เพื่อว่าความผิดบาปจะไม่มีอำ นาจเหนือเรา ไม่ว่าเราจะอ่อนแอเพียงไรก็ตาม พระองค์ทรงชำระค่าจ้างแห่งบาปบนไม้กางเขน ผู้ที่เชื่อจะไม่มีบาปเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงชำระค่าจ้างแห่งบาปแล้ว
ผู้ชอบธรรมจะเห็นว่าความอ่อนแอและความอยุติธรรมถูกเปิด เผยในตัวเขา แต่ความผิดบาปไม่มีอำนาจเหนือพวกเขาและไม่มีการลง โทษพวกเขา เมื่อพวกเขาไว้ใจในพระผู้เป็นเจ้าด้วยความศรัทธา ดังนั้น พวกเราจึงเดินในร่างใหม่ของชีวิตได้
จงยกอวัยวะของท่านให้เป็นเครื่องใช้แห่งความชอบธรรม ของพระเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพระพรให้ผู้ชอบธรรมใช้ชีวิตใหม่ทุกวัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะใช้ชีวิตในความผิดบาปต่อไปหรือ? ไม่แน่นอน โรม 6:13 กล่าวว่า “อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ให้เป็นเครื่องใช้ในการอธรรม แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เหมือนหนึ่งคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า”
“แต่จงขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป” เราเป็นทาสของบาปโดยธรรมชาติและเก่งในการทำบาป แต่พระคัมภีร์กล่าวว่า “แต่บัดนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นซึ่งทรงให้ครอบครองท่าน เมื่อท่านพ้นจากบาปแล้วท่านก็ได้เป็นทาสของความ ชอบธรรม” (โรม 6:17-18)
พวกเราผู้เป็นผู้ชอบธรรมได้รับการปลดปล่อยให้รอดพ้นจากบาปและเป็นทาสของความชอบธรรมของพระเจ้า ผู้ที่เป็นผู้ชอบธรรมได้โดยพระคุณ พวกเราได้รับการปลดปล่อยให้รอดพ้นจากบาปโดยสมบูรณ์และสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ พวกเราเป็นผู้ชอบธรรมที่สามารถทำงานเพื่อความชอบธรรมของพระองค์ได้
แต่พวกเราควรจะทำอย่างไรกับเนื้อหนังของเราหลังจากได้รับการไถ่บาป? พวกเราควรประ พฤติตนกับเนื้อหนังอย่างไร หลังจากที่เราได้รับการช่วยให้รอด? พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “บัดนี้ท่านจงให้อวัยวะของท่านเป็นทาสของความชอบธรรม เพื่อให้ถึงการชำระให้บริสุทธิ์ฉันนั้น” (โรม 6:19) เนื้อหนังทำอะไรทั้ง ๆ ที่เราได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากบาป? เนื้อหนังยังคงตกอยู่ในบาป แม้ว่าเราไม่มีบาปในใจของเรา ดัง นั้น พวกเราจึงหนีจากการหมกมุ่นในความผิดบาปได้ เมื่อเรายกเนื้อหนังของเราให้เป็นทาสแห่งความชอบธรรม ประโยคนี้หมายความว่า พวกเราควรยกเนื้อหนังของเราให้แก่งานอันชอบธรรมโดยง่าย เพราะพวกเราถูกสร้างให้เป็นผู้ชอบธรรม
พวกเราจำเป็นต้องฝึกตนในทางธรรม
พวกเราปราศจากบาปหลังจากที่เราได้รับการช่วยให้รอด ทั้งๆ ที่เนื้อหนังอ่อนแอเหลือเกินเช่น นั้นหรือ? เป็นเรื่องแน่นอนสำหรับผู้ที่เชื่อในการรับบัพติศมาของพระเยซู ไม้กางเขน การฟื้นคืนชีพ การกลับมา และการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระเยซู จะไม่มีความบาป พวกเขาปราศจากบาป พวกเราเพียงแค่ยกเนื้อหนังของเราให้งานอันชอบธรรม และจิตใจของเราต้องการทำงานอันชอบธรรมด้วยเช่น กัน แต่เนื้อหนังไม่เก่งในการทำงานเพื่อความชอบธรรมของพระองค์ ดังนั้น 1 ทิโมธี 4:7 จึงบอกว่า “จงฝึกตนในทางธรรม” พวกเราต้องฝึกตนในทางธรรม
เรื่องนี้ไม่ได้ทำกันในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อเรามอบหนังสือคำสอนให้แก่ผู้อื่น เราอาจจะอาย ถ้าเราพบคนรู้จัก พวกเราอาจจะเลี่ยงพวกเขา และกลับบ้านเป็นอันดับแรก เพราะพวกเรารู้สึกอาย อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพยายามทำหลาย ๆ ครั้ง และคิดว่า “ร่างเก่าของฉันตายไปแล้ว” แล้วรวบ รวมความกล้าพูดว่า “ท่านจะตกนรก ถ้าท่านไม่ได้รับการไถ่บาป ดังนั้น จงรับหนังสือนี้ และอ่านเพื่อได้รับการไถ่บาป!” เมื่อท่านแสดงเช่นนี้แล้ว ท่านก็สามารถยกเนื้อหนังของท่านให้แก่ความชอบธรรมได้
โรม บทที่ 6 บอกเราให้ยกอวัยวะของเราให้เป็นทาศของความ ชอบธรรม พวกเราต้องฝึกหลาย ครั้ง เรื่องนี้ไม่ได้ทำกันในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเราต้องพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเราจะมาเรียนรู้ว่า มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพียงไรที่ได้มารับใช้คริสตจักร ถ้าเราพยายามที่จะรับใช้คริสต จักร เราไม่ต้องคิดว่า “ฉันเชื่อเรื่องนี้ แต่ฉันอยากจะเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้าน ฉันรู้แล้วว่า พระท่านจะสอนอะไร” ทั้งเนื้อหนังและจิตใจควรอยู่ที่คริสตจักร ความเชื่อจะเติบโตขึ้นในจิตใจ เพียงขณะที่เรายกอวัยวะของเราให้เป็นทาสแห่งความชอบธรรม
พวกเราต้องยกอวัยวะของเราให้แก่งานแห่งความชอบธรรม ท่านเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวอยู่หรือไม่? พวกเราต้องไม่ให้ตัวเราออกห่างจากการชุมนุมกัน และการพบกับผู้นำ เมื่อท่านไปตลาด ท่านควรหยุดที่คริสตจักร และเปิดประตูทักทายว่า “เรามาทักทายระหว่างทางไปตลาด มีอะไรให้ช่วยไหม?” การหยุดทักทายที่คริสตจักรบ่อย ๆ คือการยกอวัยวะของท่านให้เป็นทางแห่งความชอบธรรม
แล้วผู้นำจะพูดว่า “น้อง ช่วยหน่อย น้องช่วยทำความสะอาดได้ไหม?”
“ได้ค่ะ”
“และ ช่วยกลับมาตอนเย็นด้วยนะ”
“ทำไมหรือคะ?”
“พวกเราจะมีประชุมเยาวชนเย็นนี้”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้จะมาช่วย”
เราในโลกวุ่นวายกันมาก แต่เราต้องยกเนื้อหนังของเราไปที่ใดเป็นอันดับแรก เมื่อประชา ชนของโลกขอให้เราช่วยการประชุมของเขา?
พวกเราต้องยกตัวเราให้คริสตจักร เราต้องรับใช้คริสตจักร แม้ว่าเราจะได้รับเชิญไปทานอาหารเย็นกับเพื่อนร่วมงานของเรา เราไม่ควรปล่อยให้เนื้อหนังของเราอยู่ในร้านอาหาร แม้ว่าจิตใจของเราอยู่ในคริสต จักร ถ้าเราทำให้เนื้อหนังของเราออกห่างจากโลกและปล่อยให้อยู่ในคริสตจักรทั้งเนื้อหนังของเราและจิตใจของเราจะรู้สึกสบาย
ท่านคิดอย่างไร? ถ้าเนื้อหนังของท่านไปยังสถานกามารมณ์บ่อย ๆ ท่านจะกลายเป็นศัตรูของพระเจ้า ต่อต้านความตั้งใจของท่าน แม้ว่าจิต ใจของท่านต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับคริสตจักร
พวกเราต้องฝึกเนื้อหนังให้ดีกับพระวิญญาณ
พวกเราต้องยกเนื้อหนังของเราให้เป็นทางแห่งความชอบธรรม แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหนังจะสมบูรณ์แบบ พวกเราต้องยกอวัยวะของเราให้แก่งานอันชอบธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเนื้อหนังของเราจะทำตามที่เนื้อหนังพอใจ พวกเรามักจะไปตามทางที่คุ้นเคย มันขึ้นอยู่กับว่าเรายกเนื้อหนังของเราให้เป็นทาสของสิ่งใด
สาวกเปาโลกล่าวว่า “จงยกอวัยวะของท่านให้เป็นทาสแห่งความ ชอบธรรม เพื่อให้ถึงการชำระให้บริสุทธิ์ จงยกอวัยวะของท่านให้เป็นเครื่องใช้แห่งความชอบธรรม” มันขึ้นอยู่กับว่า ท่านนำทางเนื้อหนังของท่านอย่างไร ถ้าท่านชวนเนื้อหนังไปดื่มเหล้า เนื้อหนังก็จะไปดื่มโดยอัตโนมัติ ผลก็คือ เนื้อหนังมุ่งไปที่บาร์ ขณะที่ท่านอยู่ในคริสตจักร ถ้าท่านนั่งอยู่ในบาร์ จิตใจก็รู้สึกเจ็บปวด แต่ถ้าท่านนั่งอยู่ในคริสตจักร จิต ใจก็รู้สึกสบายแม้ว่าเนื้อหนังจะเจ็บปวด
เนื้อหนังก็มีบุคลิกภาพเช่นกัน เนื้อหนังจะขึ้นอยู่กับว่าจะถูกนำทางโดยจิตใจอย่างไร เนื้อหนังกล่าวว่า “ฉันชอบแอลกอฮอล์” เมื่อเราดื่มหลาย ๆ ครั้ง แต่เนื้อหนังจะพูดว่า “ฉันเกลียดมัน” เมื่อเราไม่ดื่ม เพราะเหตุใดหรือ? เพราะเนื้อหนังไม่ถูกนำทาง มันขึ้นอยู่กับว่าเรานำทางเนื้อหนังอย่างไร แม้ว่าจิต ใจจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ดูแลหัวใจเราอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงประ คองเราอยู่แม้ว่าเราจะอยู่นอกคริสตจักร อย่างไรก็ตาม เราต้องยกเนื้อหนังของเราให้เป็นทางแห่งความ ชอบธรรมเพื่อให้ถึงการชำระให้บริสุทธิ์ ดังนั้น จงรับใช้คริสตจักรครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดต้องฝึกตนเพื่อให้เลื่อมใสในศาสนา พระคัมภีร์ไบเบิลบอกเราให้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า และให้พระวจนะนำทาง เหตุผลที่ว่าเหตุใดเราจึงควรให้พระวจนะของพระเจ้านำทางก็เพราะเรามักจะทำให้เนื้อหนังของเราพอใจ คิดว่าเนื้อหนังเป็นของเรา เพราะเราไปซื้อของ เต้นรำ และดื่มเหล้าตามที่เราพอใจ มันเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะนั่ง และตั้งใจจะรับใช้คริสตจักร ดังนั้น ผู้นำต้องนำเราว่า “ท่านมีที่นั่งที่นี่ และจงรับฟังพระวจนะของพระเจ้า” “ตกลง”
เราควรอดทน แม้เราจะเบื่อที่ต้องรับฟังคำสอน คิดว่า “ฉันต้องนั่งอย่างอดทนทำไมฉันเบื่อจัง ทั้ง ๆ ที่ฉันนั่งในบาร์ได้ตั้ง 3 ชั่วโมง? ทำ ไมฉันทนนั่งที่นี่ไม่ได้แม้แต่ชั่วโมงเดียว? เพียง 1 ชั่วโมงผ่านไป ตั้งแต่ฉันรับฟังคำสอน! ฉันนั่งดื่มในบาร์ได้ตั้ง 5 ชั่วโมง และเล่นไพ่ 20 ชั่วโมงโดยที่ไม่พักเลย”
มันขึ้นอยู่กับการนำทางเนื้อหนัง เนื้อหนังที่มักจะนั่งอยู่ในคริสต จักรจะเกลียดการไปเที่ยวบาร์ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ถูกนำทางไปดื่ม การนั่งในคริสตจักรจะเหมือนนรก ผู้เขียนต้องการให้ท่านอดทนหลาย ๆ วัน แล้วท่านจะได้เรียนรู้การอดทน มันเป็นเรื่องยากจนกว่าท่านจะนำทางเนื้อหนังของท่านได้ เราต้องใช้เวลาในคริสตจักรเมื่อเราต้องการทำสิ่งอื่น ๆ ด้วยเวลาของเรา
เราใช้เวลาของเราคริสตจักรพูดกับผู้นำ พี่น้องทั้งหลาย เพื่อได้ รับการนำทาง ผู้เขียนรู้สึกสบายอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในคริสตจักร และไม่มีสิ่งใดที่จะลวงล่อผู้เขียนได้ที่นั่น อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เขียนเดินไปตามถนน มีหลายสิ่งล่อลวงผู้เขียน มีสิ่งล่อใจมากมาย เช่น เสื้อผ้าในตู้โชว์ของร้าน ผู้เขียนใช้เวลา 2 ชั่ว โมงที่จะกลับบ้าน เมื่อผู้เขียนมองดูทุกสิ่งที่ผู้เขียนต้องการดู และผู้เขียนอาจเดินหลงทางไปในที่สุด
ผู้เขียนจะมองดูของแปลก ๆ ถ้ามีบางสิ่งที่แปลกหูแปลกตาที่นั่น จากนั้น ผู้เขียนจะรู้สึกว่า ‘ฉันจะกลับถึงบ้านเมื่อไร? ฉันอยากให้ใครสักคนพาฉันกลับบ้าน’ ดังนั้น จงอย่าเพลิดเพลินไปตามหนทางที่ท่านกลับบ้าน เราต้องมุ่งตรงไปที่บ้าน หลังจากการรับใช้ ขึ้นรถของคริสตจักร และมุ่งไปยังจุดหมายของเรา ถ้าคุณคิดว่า “อย่ารับฉันไปคริสตจักร ฉันจะไปคริสตจักรเอง ฉันมีขาที่แข็งแรงทั้งสองข้าง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉัน่จะไปคริสตจักรกับรถของคริสตจักร” คุณอาจหลงทางโดยถูกนำทางไป คุณควรขอบคุณที่คุณสามารถขึ้นรถของคริสตจักรไปคริสตจักร และกลับบ้านทันทีที่รับใช้เสร็จ ไม่มีอะไรต้องห่วงเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระ คุณควรอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล อธิษฐาน และเข้านอนทันทีที่กลับถึงบ้าน
มันจะดีกว่าที่คุณใช้ชีวิตเช่นนี้ คนคนหนึ่งอาจคิดว่า “ฉันมีความศรัทธาที่แรงกล้า ฉันไม่มีบาป ฉันจะพิสูจน์อะไรบางอย่างให้ตัวเอง ฉันจะไม่ดื่มเหล้า แม้ว่าจะไปเที่ยวบาร์ ที่ใดที่บาปอยู่ พระคุณจะมีมากกว่า ฉันเต็มไปด้วยพระคุณ” ถ้าเขาคิดเช่นนั้นแล้วไปบาร์ เพื่อนของเขาจะพูดว่า “นี่ มาดื่มกันเถอะ”
“ไม่หรอก เธอเคยเห็นฉันดื่มเหล้าหรือ? ฉันเลิกดื่มแล้ว”
“มาดื่มเถอะน่า”
“ไม่ล่ะ”
“ทำไมไม่ดื่มไวน์สักแก้วล่ะ?”
เพื่อนของเขารินไวน์ลงในแก้วแล้วส่งแก้วให้เขา แต่เขาคิดว่า “ฉันกำลังดื่มโซดา แม้ว่าเธอจะคะยั้นคะ ยอให้ฉันดื่มเหล้า” แล้วเขาก็เริ่มดื่มอีก และคิดว่า “อร่อยดี ทำไมเธอไม่รินไวน์ให้ฉันอีกล่ะ? ฉันดื่มได้แค่แก้วเดียวเอง” เขาก็ดื่มโซดาอย่างรวดเร็ว
แล้วเพื่อนของเขาก็รู้ว่า เขาอยากดื่ม และรินไวน์ลงในแก้วเปล่า
“มันไม่แรงหรอ เธอดื่มเหมือนค๊อกเทล”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ดื่ม เธอไม่รู้เหรอว่า ฉันวางใจในพระเยซู?” อย่างไรก็ตาม ในที่สุด เขาก็ดื่มเหล้าแก้วนั้น และเพื่อนเขาก็รู้ว่าเขาดื่มเก่ง
“ดื่มแค่วันนี้เท่านั้นแหละ”
“ก็ได้ ฉันจะดื่มแค่วันนี้ แต่เธอควรวางใจในพระเยซูนะ ตกลงไม๊? ฉันไม่มีบาปหรอกทั้ง ๆ ที่ฉันดื่มเหล้าน่ะ แต่เธอมีบาปไหม? เธอควรได้รับการช่วยให้รอดจากบาปของเธอนะ”
สิ่งสำคัญคือเรายกเนื้อหนังไว้ที่ใด
มนุษย์จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่มีอะไรพิเศษ สิ่งสำคัญก็คือ เรายกเนื้อหนังไว้ที่ใด จงยกอวัยวะของท่านให้เป็นทาสแห่งความชอบธรรม เพื่อให้ถึงการชำระให้บริสุทธิ์ จงยกเนื้อหนังของท่านเพื่อให้ถึงการชำระให้บริสุทธิ์ เพราะเนื้อหนังไม่บริสุทธิ์ ผู้เขียนใช้การดื่มเหล้าเป็นตัวอย่างในที่นี้ แต่สิ่งอื่น ๆ ก็เหมือนกับการดื่มเหล้า มันขึ้นอยู่กับว่าเรานำทางเนื้อหนังอย่างไร
พวกเราได้รับการช่วยให้รอดโดยการศรัทธาในลมหายใจของผู้ใดผู้หนึ่ง และมันเป็นนิรันดร์ แต่ความเป็นพระเจ้าของจิตใจ และเนื้อหนังของเราขึ้นอยู่กับว่า เรายกเนื้อหนังไว้ที่ใด เรารู้สึกว่า หัวใจก็สกปรกด้วยเมื่อเรายกเนื้อหนังของเราให้สิ่งโสโครก แม้ว่าจิตใจจะสะอาด แล้วเราก็มาล้มเลิกความเชื่อของเรา ต่อต้านคริสตจักร ขานพระนามพระเจ้าโดยไร้ประโยชน์ และหนีไปจากการยกย่องพระเจ้า ถูกล่อลวงโดยซาตาน เราจะถูกทำลายในที่สุด
ถ้าเช่นนั้น จงมองดูตัวท่านเองว่าท่านควรถูกทำลายหรือไม่ ท่านต้องระมัดระวัง พวกเราจะติดต่อกับบาปไปแต่ละวันของเราได้อย่างไร หลังจากที่เราได้รับการช่วยให้รอดพ้นจากบาปแล้ว? “ที่ใดที่บาปอยู่ พระคุณจะมีมากกว่า” พระผู้เป็นเจ้าทรงชำระล้างบาปประจำวันของเราด้วยเช่นกัน เพื่อว่าเราจะไม่กลับเป็นคนบาปอีก แม้ว่าเราจะทำบาปอีกหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม เราอาจจะมีปัญหาว่า เนื้อหนังจะถูกรบกวนจากปีศาจร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าอีกหรือไม่ เราควรยกเนื้อหนังของเราไว้ที่ใด? เนื้อหนังควรไปตามทางที่วาดไว้ ผู้เขียนได้พูดมาจนถึงขณะนี้เพื่อทำให้ท่านเข้าใจเรื่องนี้
เนื้อหนังจะบริสุทธิ์เช่นเดียวกับที่จิตใจบริสุทธิ์ และจะกลายเป็นทาสแห่งความชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า เมื่อเรายกเนื้อหนังให้เป็นเช่นทาสแห่งความชอบธรรม เราต้องมุ่งให้ชีวิตของเราไปคริสตจักร หลัง จากที่เราได้รับการช่วยให้รอด ถ้าเราไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตหลังจากที่เราได้รับการช่วยให้รอดได้อย่างไร พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า คริสตจักรก็เหมือน กับโรงแรม เราดื่มน้ำ ทานอาหารแห่งจิตวิญ ญาณ และสร้างสัมพันธภาพดังเช่นที่เราควรดื่ม และคุยกับผู้อื่นในโรงแรม
คริสตจักรก็เป็นเหมือนโรงแรม เราสร้างสัมพันธภาพ และพูดคุยกับผู้อื่นในคริสตจักร ดังนั้น เราจึงควรไปคริสตจักรเสมอ ผู้ที่ไปคริสต จักรบ่อย ๆ จะเป็นบุคคลที่มีจิตวิญญาณ และผู้ที่ไม่ค่อยจะไปคริสตจักรจะไม่สามารถเดินในพระวิญญาณ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะมีความศรัทธาที่ยิ่งใหญ่เพียงไร ผู้ที่ไปคริสตจักรอยู่เสมอ จะมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะอ่อนแอเพียงไร มันขึ้น อยู่กับมิตรภาพแห่งจิตวิญญาณหลังจากการไถ่บาป
ไม่มีสถานที่ใดให้เราสถิตย์อยู่นอกจากคริสตจักร ผู้เขียนต้องการให้ท่านมายังคริสตจักรของพระเจ้าให้บ่อย เท่าที่จะทำได้ และสร้างสัม พันธภาพกับประชาชนของพระองค์ จงหยุดที่คริสตจักร รับใช้ศาสนกิจ รับฟังพระวจนะของพระเจ้า และปรึกษากับผู้นำคริสตจักรว่าท่านวาง แผนจะทำสิ่งใด
เราต้องใช้ชีวิตของเราตามพระวจนะของพระเจ้า และรวมตัวของเราเข้าด้วยกัน แล้วเราจะประสบผลสำเร็จในชีวิตแห่งความศรัทธาโดยปราศจากความล้มเหลว เราจะถูกใช้